วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เรื่องสั้น - หนี้น้ำใจ ( น้ำใจอันบริสุทธิ์ยิ่ง...อ่านแล้วยิ้มทั้งน้ำตา )

หนี้น้ำใจ
มน เมธี
ไม่รู้ว่าพระอาทิตย์ไปอยู่เสียที่ไหน ตื่นขึ้นมาฟังเสียงไอ้โต้งมันโก่งคอขันอยู่เป็นนานแล้วฟ้าก็ยังไม่ใสสักที นึกอยากจะเปิดหน้าต่างดูตะวันให้ถนัดก็ไม่กล้าสารพัดละ มันน่ากลัว หน้าต่างข้างมุ้ง นี่ก็อยู่กับทางเดียวกับไม้ใหญ่โอบไม่รอบต้นนี้เสียด้วย ที่จริงมันก็ต้นจันแท้ๆ แต่ไม่ว่าต้นอะไรลงว่าฟ้ามันยังไม่สางก็น่ากลัวทั้งนั้น ตอนกลางวันวิ่งเล่นกลางแดดกลางลมได้อาศัยร่มก็จริงอยู่ เคยปืนต้นเก็บลูกเหลืองอ่อนๆมาดมเล่นเสียไม่รู้เท่าไหร่ แต่ลงถ้าพระอาทิตย์ยังไม่ตื่นขึ้นส่องแสงก็ไม่เอาแล้ว ขืนทำใจกล้าโผล่ออกไปเจอใครนั่งอยู่บนคาคบ กวักมือเรียก ก็ตายกันพอดี โอ้ย ! นึกขึ้นมาแล้วขนลุก เสียวหัวใจวาบๆ ฝาไม้คร่ำคร่ามีอายุนานปี โดนแดดโดนฝนนานวันเข้าเนื้อไม้ก็ไม่แน่นสนิทเหมือนแต่แรก เป็นช่องเป็นรอยเสียหลายแห่ง เคยรำคาญเวลาแดดส่องลอดเข้ามาหา วุ่นวายหากระดาษข้าวสุกปะ เอาไว้หลายๆชั้นเวลาฝนสาดมา ตอนนี้นึกขอบใจไอ้พวกรอยแตกนั้นเสียจริงๆ หัวนอนนี่แหละทางตะวันขึ้น จำแม่นนัก ปลายตีนต้องเป็นตะวันตกจำได้ไม่ลืมเพราะ ตะวันตกเป็นหัวนอนของผีในป่าช้า เวลานอนไม่เคยหันหัวผิดทิศสักที บางคืนนอนดิ้นมากๆกลับหัว
กลับหางยุ่งไปหมด ไม่รู้ดิ้นท่าไหนหันหัวกลับไปทางป่าช้าได้ หันหัวผิดก็ร้ายอยู่แล้ว ตัวยังดิ้นออกนอกมุ้งเสียอีกด้วย รีบตาเหลือกผลุนผลันเข้าไปในมุ้งแทบไม่ทัน นอนคลุมโปงสวดมนต์เสียไม่รู้กี่จบ สวดจนไม่รู้ว่าหลับไปเมื่อไร ค่อยแนบหน้าเข้ากับมุ้งด้านหัวนอน ยื่นหน้าออกไปทั้งๆมุ้งยังไม่ได้ตลบจนปลายจมูก
แตะฝาที่มีรอยแตก มองไม่ถนัดจึงยื่นหน้าออกไปอีก สายมุ้งที่เป็นปมเล็กขอดน้อยคร่าคร่ำประสาเชือกที่เก็บๆตามห่อของมา ก็เลยขาดผึงลงมาคลุมหัว เจ้าของมุ้งนั่งตัวแข็งทื่อนึกว่าผีหลอก ไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย จนอ้ายอูที่เกาะคอนไม้โก่งคอขันถึงได้ค่อยขยับตัว เอาเสียงมันเป็นเพื่อนตลบมุ้งให้พ้นหัวพ้นตัว
เหลียวชำเลืองมองไปอีกด้านหนึ่งของห้องพออุ่นๆใจ
“ หลงตายังไม่ตื่น แต่ถึงหลับๆอยู่ก็พอมองท่านเป็นเพื่อนได้ เกิดอะไรขึ้นเผ่นทีเดียวก็ถึงตัว ”
เจ้าเด็กกำพร้าพ่อขาดแม่ปลอบตัวเองอยู่ในใจ ค่อยคลานไปที่รอยฝาแตกอีก แนบลูกตาไว้จนชิด จนเห็นได้ถนัดว่าข้างนอกนั้นสว่างแล้ว สว่างจนเห็นดอกพิกุลที่ร่วงประดับลานวัดออกขาวเกลื่อน
“ หลงตาก็ไม่ยักตื่นสักที ”
หันกลับมามองเตียงเตี้ยๆที่หลงตายังจำวัดอยู่ก็เห็นเงียบกริบ ทุกทีป่านนี้ท่านเคยลุกขึ้นครองผ้าเตรียมออกรับบิณฑบาตแล้ว
“ หลงตาครับ หลงตา สว่างแล้วครับ ”
ใจคอมันไม่เป็นสุขเลย ถ้าเป็นวันธรรมดาก็คงไม่กล้าเซ้าซี้ท่านหรอก แต่นี่...มันเหมือนกับทุกวันเสียเมื่อไหร่
เมื่อวานนี้ไม่มีใครอืดอาดยืดยาดสักคน พอตื่นนอนเช้าก็กุลีกุจอตั้งหม้อข้าวกินกัน ควันให้คลุ้มไปหมด ไอ้ที่ต้องสะพายปิ่นโตตามหลวงพ่อ หลวงพี่ พอกลับมาถึงก็รีบตั้งสำรับไม่ได้ เฉื่อยชากันสักคนเดียว พอพระท่านฉันเสร็จก็รีบเปิบๆข้าวกันอย่างรีบเร่ง ล้างถ้วยล้างชามคว่ำเรียบร้อย กระโจนลงจากกุฏิกันแผล๋วๆ ชั่วตะวันขึ้นยังไม่ถึงยอดพิกุล กุฏิทั้งหลายในวัดก็สงบเงียบ ได้ยินแต่เสียงกระแอมกระไอ เสียงพูดกันเบาๆของพระเท่านั้น
ก็เหลืออยู่แต่คนเดียวตามลำพัง จะลุกนั่งมันก็ให้ว้าเหว่ไปทีเดียว พื้นชานกุฏิที่เคยลั่นออดแอดเวลาเจ้าลูกศิษย์ทั้งหลายเผลอวิ่ง เผลอกระโดดตามประสาเด็กก็เงียบกริบเพราะไม่มีฝีเท้าที่ไหนจะคอยรบกวน
ทั้งเหงาทั้งเงียบ จะทนนั่งอยู่ยังไงได้ หลวงตาท่านแก่มากแล้ว แก่จนหลังชักจะค้อม ตาท่านชักจะฝ้า ท่านก็เอนๆครึ่งนั่งครึ่งนอน พูดจาวิสาสะกับคนที่เข้ามาหามาคุยกับท่าน น้ำร้อนน้ำชาก็เทียบไว้จนใกล้ พอท่านคุยเพลินก็ค่อยเลี่ยงลงจากกุฏิทางกะไดด้านหลังโดดแผล๋วเดียวถึงพื้น เสียงนั้นแว่วมาตามลม พอพ้นหมู่ขนุนหน้าวัดก็เห็นที่มาของเสียงนั้น ตั้งตระหง่านตรงหน้า ถ้าจะวิ่งไปไม่ทันเหนื่อยก็ถึง ค่อยลัดเลาะต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นประดับลานกว้างเป็นระยะนั้นเข้าไปเรื่อยๆ เสียงอ่านท่องหนังสือลอยลงมาได้ยินถนัด มองขึ้นไปก็เห็นเจ้าของเสียงนั่งกันให้สลอน กั้นไว้ แยกไว้เป็นพวกๆด้วยฝาห้อง บางห้องมองปราดเดียวก็รู้ว่าครูไม่อยู่เพราะจะมีการเคลื่อนไหวอย่างชุลมุน เสียงจ้อกแจ้กลอยเคล้าลงมากับเสียงท่องบทเรียนของห้องอื่นๆดูก็น่าสนุก ใครเขาก็เรียนหนังสือกันทั้งนั้น
“ อ้าว ! นี่ทำไมมายืนแอบต้นไม้ยังงี้ล่ะ ทำไมไม่เข้าห้องเรียนจ๊ะ ”
สะดุ้งเสียสุดตัวเพราะความที่ตกใจ เงยขึ้นมองเจ้าของมือ ที่มือเขายังแตะไว้บนไหล่ เห็นตาที่กำลังจ้องมองนั้นไม่มีแววตาดุเท่าไหร่ ก็เลยยิ้ม
“ คนนี้น่ากลัวเป็นครู ”
นึกคะเนไว้ในใจ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ไม่รู้จะพูดอะไรดี เวลาพูดกับครูเขา พูดกันยังไงก็ยังไม่รู้ ยังไม่เคยมีครูมาพูดด้วยสักคน
“ ว่าไงจ๊ะ ชื่ออะไร เราน่ะ อยู่ชั้นไหน ? ”
“ ชื่อทน ”
“ อ้อ ! ชื่อทน อยู่ชั้นไหนล่ะ ”
“ อยู่วัดป่านี่แหละ อยู่กับหลงตาฟื้น ”
ก็บอกไปตามความจริง ผู้หญิงคนนี้กลับยิ้ม เขาจะหัวเราะด้วยซ้ำ ไม่รู้หัวเราะเรื่องอะไร ?
“ เอาละ เป็นอันว่าเธอชื่อนายทน อยู่กับหลวงตาฟื้น ทีนี้เธอเรียนหนังสือชั้นไหน ”

“ ไม่ได้เรียนชั้นไหนหรอก ก้อข้าไม่ได้เป็นนักเรียนนี่ ”
“ อ้าว ! ไม่ได้เป็นนักเรียน ทำไมมายืนแถวนี้ล่ะ ”
“ อยากดู ”
“ ดูอะไรกัน ”
“ ก็เพื่อนที่วัดเขามาเรียนกันทุกคน เหลือข้าอยู่คนเดียวมันเลยเหงา ”
“ อยากเรียนไหมล่ะ ”
“ อยาก ”
“ ทำไมไม่บอกพ่อแม่ให้พามาโรงเรียนล่ะ วันนี้วันเปิดเทอม กลับไปบอกพ่อแม่ไป๊ ”
“ ไม่มีนี่ มีแต่หลงตา ”
เงียบ ! ไม่มีเสียงถามอะไรอีก มองหน้ามองตากันเสียอึดใจใหญ่ๆเห็นจะได้
“ เธออายุเท่าไหร่ ”
“ ข้าไม่รู้นี่ หลงตาซีถึงจะรู้ ”
“ เอาล่ะ อยากจะเรียนหนังสือใช่ไหม อยากเรียนก็พาไปหาหลวงตาก่อน แล้วก็ทีนี้
จะพูดข้ากับครูไม่ได้นะ ฉันเป็นครูที่โรงเรียนนี้ นักเรียนต้องพูดดี พูดกับครูต้องพูดผมพูดครับ เข้าใจไหม ? ”
“ เข้าใจครับ ”
หลวงตากำลังเอกเขนกพิงหมอนขวานใบเก่าคร่ำคร่าอยู่หน้ากุฏิ มีคนแก่คนเฒ่าคุย
อยู่เป็นเพื่อนตามเคย พอเดินเข้าไปใกล้กะไดด้านหน้าไอ้แตนมันก็เห่า หลวงตาป้องหน้ามองจนกระทั่ง
พาครูเข้าไปนั่งพับเพียบตรงหน้า
ครูกับหลวงตาพูดกันอยู่สักพัก ไม่รู้เรื่องว่าพูดกันว่ายังไงเพราะเลี่ยงไปนั่งพิงโอ่งน้ำ
เสียทางโน้น สักครู่ครูก็ลากลับ
“ ทน ทนเอ๊ย ! เดินไปส่งครูใหญ่ท่านหน่อย เออ ! ดูไอ้แตนดีๆด้วย ”
เดินตามครูไปจนถึงโรงเรียนครูก็บอกให้กลับ
“ พรุ่งนี้ตื่นเช้าๆนะ มาเรียนหนังสือ แล้วก็เออ ! มีเสื้อใส่หรือเปล่า กางเกงล่ะ ”
“ มีครับ ”
“ เอาละ พรุ่งนี้มาแล้วก็มาหาครูก่อนนะ ”
“ ครับ ”

**********************************************************************
พรุ่งนี้ของเมื่อวานก็วันนี้นี่ไง วันที่ไก่โก่งคอขันแจ้วแจ้ว วันที่พิกุลร่วงลงเกลื่อนลานดินหน้าวัด วันที่แสนจะตื่นเต้น แต่หลวงตาก็ไม่ตื่นสักที

“ หลงตา.......หลงตาครับ ”
คราวนี้ไม่ปลุกเฉยๆแล้ว แต่เอื้อมมือไปเขย่าปลายเท้าหลวงตาเอาทีเดียว
“ เออ ! ข้าตื่นแล้ว ”
วันนี้อะไรๆมันช่างอืดอาดชักช้าเสียจริง กว่าหลวงตาจะบิณฑบาตเสร็จ กว่าจะฉัน กว่าจะได้เก็บถ้วยชามล้าง ดูมันช่างไม่ทันใจเสียเลย
“ เอ้า ! เสื้อ กางเกงของเอ็ง นี่แหละใส่ไปเถอะ รีบไปเดี๋ยวครูใหญ่เขาจะคอย อย่าลืมไหว้ครูก่อนนะไอ้หนู ”
หลวงตาสั่งเสีย แล้วยังเดินออกไปส่งจนถึงหัวกะไดกุฏิ
เสื้อผ้าชุดนี้ไม่รู้ว่าใครให้มา ขากางเกงยาวเกือบคลุมเข่า เข็มขัดก็ไม่มี หลวงตาเอารัดประคตเก่าๆมาร้อยหูกางเกงแล้วผูกเงื่อนกระตุกให้ เสื้อค่อยพอเหมาะกับตัวคนใส่ แต่ไม่มีกระดุมสักเม็ด ช่างมันเถอะ เดินมั่ง วิ่งมั่ง ไปจนถึง
ครูคนที่พบกันเมื่อวานยืนคอยอยู่แล้ว พอเห็นถนัดว่าใช่แน่ก็ลงนั่งยองๆยกมือไหว้ท่วมหัว
“ สวัสดีจ้ะ ! ทีหลังอย่านั่งไหว้ครูยังงี้นะ ”
“ หลงตาบอกให้ไหว้ครูก่อน ”
“ รู้แล้ว แต่นักเรียนเขาไม่ไหว้ครูอย่างเธอหรอก เอาเถอะ แล้วจะสอนให้ ดูอย่าง
เพื่อนเขาก็ได้ ”
เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันวิ่งตั๊กๆเข้ามาจากหน้าโรงเรียน พอเห็นครูก็ชะงักหยุดกึก ระวังตรง พร้อมกับโค้งคำนับอย่างว่องไว
“ เพื่อนเข้าห้องหมดแล้ว ทำไมเพิ่งมานายเปีย ”
“ ผมไปช่วยแม่ถอนกล้าครับ ”
“ จริงนะ ไม่ได้ไถลนะ ถ้าฉันรู้ว่าเธอพูดปดจะถูกเฆี่ยน ”
“ จริงครับ ถามแม่ดูได้เลย ”
“ เอาละ ไปได้ ”
เจ้าหมอนั่นรับคำอีกที แล้วก็วิ่งเข้าห้องเรียนไป แต่แอบชำเลืองมองจนตาสบตากันจนได้ ครูพาไปหาผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าชั้น ท่าทางดูจะเอาเรื่อง ฝากฝังไว้กับห้องเรียนห้องนี้แล้วก็ไป
“ ตั้งใจเรียนดีๆนะ เดี๋ยวครูจะหาสมุดกับหนังสือให้ ”
ได้รู้รสโรงเรียนว่ามันเป็นยังไงในวันนี้เอง เรียนอ่านแล้วก็หัดเขียนตัวหนังสือ ตัวเลขแล้วก็หยุดพักกินข้าวแล้วก็เข้าเรียนตอนบ่าย จนได้เวลาเลิก พอระฆังเลิกเรียนดังก้อง พอครูปล่อยให้ออกจากห้องได้ ทนก็วิ่งตื๋อกลับวัด มีสมุดกับหนังสือกับไม้บรรทัดกับดินสอที่ครูใหญ่ให้ติดมือมาด้วย

“ ครูใหญ่ให้ครับหลงตา แล้วครูบอกว่าเก็บให้ดี แล้วครูบอกว่าทำไมเสื้อผมไม่มี กระดุม ”
“ เออ ! ”
“ ครูบอกว่าให้ตื่นเช้าๆด้วยครับ ”
“ ก็เอ็งก็กินข้าวกินปลาเสียซิ แล้วก็จะได้นอนเสียแต่หัวค่ำ เดี๋ยวข้าจะหากระดุมเสื้อติดให้เอ็ง ”
หลวงตาให้สัญญาอยู่ในที แต่จะหากระดุมมาจากไหนติดเสื้อให้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึกนั้นหลวงตายังไม่นอน ยังนั่งทำอะไรง่วนอยู่หน้าตะเกียงลาน จะลุกไปดูก็ง่วงเต็มที นอนต่อกระทั่งเช้า ตื่นขึ้นมาจึงได้เห็นเสื้อตัวเมื่อวานวางอยู่หน้าเตียงหลวงตา ไอ้ตัวที่ใส่ไปเรียนหนังสือนั่นแหละ หลวงตาติดกระดุมไว้แล้ว ติดให้จนครบห้าเม็ดแต่ว่าสีไม่ซ้ำกันสักเม็ดเดียว
“ เอ้อเฮอ ! ทน ใครติดกระดุมเสื้อให้นะ ”
พอสวัสดีคุณครูเสร็จก็ถูกถามทันที ครูใหญ่เป็นคนถาม พอบอกว่าหลวงตาทำให้ ครูก็หัวเราะ
ครูหัวเราะไม่เป็นไรหรอก พอเข้าห้องเรียนไอ้เพื่อนหน้าใหม่มันก็หัวเราะมั่ง นี่ซีชักจะเคือง มันเรื่องอะไรของพวกมันล่ะ ไอ้เจ้าเปียที่เจอเมื่อวานน่ะตัวดีนัก
“ ช่างมัน พวกมันเยอะ ”
ผัดไว้ในใจ รอไว้ให้มีพวกเสียก่อน ทีนี้ใครหัวเราะเยาะก็น่าดูแหละ จะต่อยให้ฟันร่วงเป็นแถวๆไปเลย
แล้วก็ยังไม่ทันจะมีพวกสักกี่คนเลย มันก็ให้มีเรื่องถึงกับจะต้องต่อยหน้าไอ้เปียให้ได้ ไอ้เปียจอมเกกมะเหรกมันข่มเหงน้ำใจดีนัก มันก็รู้ว่าถ้ามันทำอย่างนี้ฟันมันก็จะต้องร่วง แต่มันก็ทำแล้ว ไอ้คนเก่งท้องนาหรือจะมาเก่งไปกว่าลูกศิษย์วัด ฟันผุๆของไอ้เปียก็เลยร่วง มันยืนร้องไห้เลือดกบปาก สมน้ำหน้า !
“ เธอชกนายเปียเขาทำไม ? ”
“ เขามาแย่งส้มผมครับ ”
ครูเรียกไปยืนหน้าโต๊ะครูทั้งสองคน ไม้เรียวอันยาวเฟื้อยวางอยู่บนโต๊ะเห็นถนัด ครูใหญ่เป็นคนสอบสวนเอง วันนี้ครูไม่ยิ้มแย้มอย่างที่เคย หน้าก็บึ้ง เสียงก็ดุ ไอ้เปียสะอื้นอืดๆ ก้มหน้ามองพื้น มันคงจะเจ็บจริง ชักสงสาร
“ เขาขอครับ แต่ผมไม่ให้ ”
รีบตอบแทนเสียเอง ก็ใครจะไปให้มันได้ ตัวเองยังไม่ยอมกิน แล้วหลวงตาก็สั่งแล้วสั่งอีก
“ เธอน่ะใจดำนักนะ ของกินเพียงแค่นี้แบ่งให้เพื่อนกินมั่งจะเป็นไรไป ”


ครูหยิบไม้เรียวมาถือ ขยับมือจนปลายไม้ไหวอยู่ริกๆ กิ่งฝรั่งอย่างนี้เหนียวนักพอๆกับกิ่งมะขาม ถูกตีเจ็บจับหัวใจทีเดียว
“ ใครชกกันจะต้องถูกเฆี่ยน รู้แล้วใช่ไหม ? ”
เสียงครูดุเหลือเกิน จนไม่กล้าจะพูดอะไรอีก
“ นายทนเป็นคนชกเพื่อนจนเจ็บถึงฟันฟางหัก เธอจะต้องถูกเฆี่ยนห้าที นายเปียถึงจะเจ็บแต่ก็เป็นคนก่อเรื่อง จะต้องถูกเฆี่ยนสองที เข้าใจไหม ? ”
คราวนี้เงียบกริบกันไปทั้งห้อง ไอ้พวกที่นั่งอยู่ตามโต๊ะเงียบสงบยังกะไม่มีปากไว้พูดได้ยินแต่ไอ้เปียสะอื้นกระซิกๆ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้อยู่ว่ามีหลวงตาอยู่องค์เดียวที่เป็นทุกอย่างในชีวิต พ่อกับแม่นั้นเป็นเพียงคำที่ได้ยินจนคุ้นเคย เห็นก็แต่ที่เป็นพ่อแม่ของเด็กอื่น
“ เอ็งมันลูกกำพร้า ข้าถึงเก็บเอ็งมาเลี้ยงไว้ พ่อแม่เอ็งข้าก็ไม่รู้ว่ามันไปอยู่เสียที่ไหน ? ”
หลวงตาเคยพูดอย่างนี้เสมอ ทนรู้ตัวว่าเป็นลูกกำพร้าแปลว่าไม่มีพ่อไม่มีแม่ มีแต่หลวงตา และหลวงตาก็แก่มากแต่ไม่ดุดันเหมือนพระแก่องค์อื่นๆ หลวงตาไม่เคยมีไม้เรียวกำหราบอย่างที่เด็กวัดกุฏิอื่นมักจะโดนฟาดกันเป็นแถวๆ อาจจะเป็นเพราะหลวงตามีแต่ความใจดีหรืออาจเป็นเพราะทนเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม้เรียวกับทนจึงไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก เด็กอื่นแม้จะอยู่วัดเป็นลูกศิษย์วัด แต่ก็ไม่เหมือนทนเลยสักคนเดียว เขามีพ่อมีแม่กันทั้งนั้น มาอยู่วัดก็เพราะว่าแก่นแก้วเสียจนพ่อแม่ระอา อีกอย่างหนึ่งก็หวังจะให้พระท่านดัดนิสัย เมื่อ
ถึงเวลาจะต้องเข้าโรงเรียนเขาจึงได้เรียนทุกคน หลวงตานั้นแม้ว่าท่านจะใจดี แต่ความใจดีก็ไม่อาจแปรรูปเป็นปัจจัยส่งเสียให้ทนเข้าโรงเรียนเหมือนเด็กอื่นๆ ท่านจึงได้แต่ให้อ่าน ก ขอ ก กา ตามมีตามเกิด ตามประสายาก ไม่มีจุดหมายว่าเมื่อไรหรืออย่างไรจึงจะส่งเสียเด็กกำพร้าที่ท่านเลี้ยงไว้ได้ เมื่อวันที่วาสนาชะตาของเจ้าเด็กกำพร้าจะไม่เหมือนเก่า คือวันที่ผู้เป็นครูใหญ่หรืออาจารย์ใหญ่ตามที่ครูอื่นเขาพากันเรียกเข้ามาหาท่านจนถึงกุฏิ ขอรับภาระในการจัดการเรื่องเข้า โรงเรียนของเจ้าทนด้วยความเวทนามันนั้น หลวงตาจึงได้ดีอกดีใจนัก และถ้าท่านไม่ได้เป็นพระ ไม่ได้ครองผ้าเหลือง เป็นแต่เพียงผู้เฒ่าชาวบ้านวัดสระเงิน ที่รู้จักคุ้นเคยเหมือนผู้อื่นเขา สิบนิ้วของหลวงตาก็คงพนมขึ้นเป็นการตอบแทนน้ำใจครูใหญ่เสียแล้ว
“ เอ็งต้องจดจำ ต้องนึกถึงบุญคุณครูเขาไว้ให้มากๆ ลำพังข้าก็ให้เอ็งได้แต่ข้าวก้นบาตร วิชาความรู้อะไรถึงข้าจะให้เอ็งได้ มันก็ไม่เหมือนในโรงเรียน ”
หลวงตาไม่เคยช่างพูดาแต่ไหนแต่ไร ครั้งนี้ก็เหมือนกัน หลวงตาไม่เคยพูดซ้ำๆซากๆ แต่ความสนใจ ความยกย่องในน้ำใจของครูใหญ่ที่มาจากกรุงเทพฯนั้น หลวงตาแสดงออกให้ทนได้รู้เสมอ
“ วันนี้เอ็งไหว้ครูก่อนเรียนหนังสือหรือเปล่า ? ”
“ ไหว้ครับ ”
“ เออ ! ดี อย่าลืมเชียวนา เอ็งต้องไหว้ครูเขาทุกๆวัน ”
ทนไม่เคยลืมสักวันเดียว จนบางวันครูก็หัวเราะ เมื่อบังเอิญมาโรงเรียนสายเพราะมัวไปธุระที่อำเภอเสีย มาจนเลยเวลาเข้าเรียนไปนานแล้ว แต่พอครูเดินผ่านห้องเท่านั้น แม้ว่าทนกำลังเรียนอยู่ก็ต้องขออนุญาตครูประจำชั้นออกมาสวัสดีครูใหญ่ก่อนจนได้
“ เอ็งต้องแทนคุณครูเขามั่ง แสดงความกตัญญูรู้คุณด้วยการกราบไหว้เขา มีอะไรช่วยครูเขาได้ก็ช่วย ”
ไม่ใช่แต่เท่านี้หรอก ความรู้คุณคนของหลวงตานั้นมีมากนักจนซึมซาบเข้าไปในจิตของทนเหมือนหยาดน้ำที่หยดลงบนก้อนสำลีทีละนิด ทีละนิดจนชุ่ม
“ เอามือกอดอก หันหลังมา ”
ครูใหญ่ไม่ได้แผดเสียงสักนิดเดียว เสียงครูธรรมดาแท้ๆ แต่กระนั้นทนก็ถึงกับสะดุ้ง ใจเต้นตึ้กๆ ขอบตาร้อนผ่าว น้ำตามันวิ่งมาคลอจนกบลูกตา ก้าวออกมายืนกอดอก หันหลังให้ตามครูสั่ง แต่ละทีที่ผ่านไปนั้น ช่างเนิ่นนานและยืดยาดเสียนี่กระไร กว่าการลงโทษจะสิ้นสุด กว่าคุณครูจะอนุญาตให้กลับไปนั่งที่ได้ พอก้มลงคำนับ พอจะหันหลังกลับไปยังโต๊ะเรียน ไอ้เจ้าตัวต้นเหตุที่ทำให้ต้องต่อยกะไอ้เปีย จนต้องถูกเฆี่ยนน้ำตานองหน้า ก็หล่นจากกระเป๋ากางเกงที่มันขาด จนต้องรัดปลายไว้ด้วยยางหนังสะติ๊ก ก้นกระเป๋าตื้นนัก มันก็เลยกลิ้งออกมาได้ง่ายๆ มันกลิ้งตกลงไปที่พื้น ทีแรกก็กะไว้ว่าจะรอกินข้าวเพลเสียก่อน แต่ไม่ต้องรอก็คงได้ ก็ครูเห็นเสียแล้วนี่ ถึงหลวงตารู้ว่ามันทำไปไม่เหมือนกะที่ได้สั่งมาทีเดียว หลวงตาก็คงไม่ว่าอะไรหรอก
ก็เลยหยิบขึ้น เมล็ดข้าวสุกที่เขาใส่บาตรหลวงตาพร้อมกับส้มใบนี้ยังแข็งกรังเกาะติดอยู่กับผิว ไม่มีเวลาจะแกะออกเสียแล้ว
“ เอาของเธอไปซี ฉันไม่ได้ริบส้มของเธอด้วยนี่ ”
พอวางลงบนโต๊ะ ครูก็พูดกับทน น้ำเสียงนั้นไม่แข็งกร้าวเหมือนเมื่อตอนก่อนที่จะถูกเฆี่ยน ทนจึงกล้าบอกครูด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นเพราะน้ำตายังไม่ยอมหยุด
“ ผมเอามาให้ครูครับ หลงตาไปบิณฑบาตได้ส้มมาให้ผม ๒ ลูก เลยแบ่งมาให้คุณครูลูกนึง แล้วไอ้เปียมันจะแย่ง บอกว่าจะให้ครูมันก็ไม่เชื่อ....”
พูดได้แค่นี้ครูก็พูดว่า
“ ขอบใจนะทน ขอบใจมาก ”
เสียงเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน ครูไม่เคยพูดกระซิบยังงี้ เงยหน้าขึ้นมองก็เลยรู้ว่าทำไมเสียงครูจึงค่อยนัก เย็นนี้จะกลับไปเล่าให้หมด หลวงตาคงจะรู้ว่าทำไมครูถึงน้ำตาคลอยังกะจะร้องไห้ ผู้ใหญ่นี่แปลกจริงๆ ไม่ต้องถูกตีก็ร้องไห้ได้ ชอบกลแท้ๆ.

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ป่าหินงาม - ทุ่งดอกกระเจียว อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ

ป่าหินงาม - ทุ่งดอกกระเจียว (บัวสวรรค์ ) อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ
13 กรกฎาคม 2551
ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์...แด่ผู้ที่รักและคิดจะรักธรรมชาติ
ทุ่งดอกกระเจียว


ป่าหินงาม

บทกลอนเพื่อการอนุรักษ์
ป่าหินงาม - ทุ่งดอกกระเจียว จ.ชัยภูมิ
พักงานสอนจรขึ้นภูดูดอกไม้ เยือนป่าใหญ่ปากประตูสู่อีสาน
ย้อนยุคหินถิ่นที่ตั้งครั้งก่อนกาล สูงตระหง่านท้าวันคืนกว่าหมื่นปี
เทพสถิตแหล่งภูผาป่าสวรรค์ ทุ่งเทพสรรค์กระเจียวบานลานหลากสี
งามป่าหินรูปศิลป์ก่อเกินพอดี งามกว่าที่เอ่ยวาจามาบรรยาย
จึงเก็บภาพผ่านสายตานำมาฝาก เป็นสื่อจากใจของครูสู่เป้าหมาย
แหล่งท่องเที่ยวถิ่นไทยนี้มีมากมาย อย่าดูดายมาตุภูมิจงภูมิใจ
ถ้ารักไทยจงสานใจไทยไว้ก่อน แม้เดือดร้อนจงแน่วแน่ร่วมแก้ไข
สามัคคีมีเหนี่ยวรักถักสายใย เช่นดอกไม้ละลานตาป่าหินงาม.
ศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ
13 กรกฎาคม 2551