วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรื่องสั้น - เนื้อพะยูน


เนื้อพะยูน
สรจักร ศิริบริรักษ์
ผมเฝ้ารอมันด้วยความอดทน ปกติจะมีรถจากตัวเมืองตรังมาที่อำเภอกันตังวันละเที่ยวก็จริง แต่รถจากกันตังมาที่บ้านพระม่วงมีเพียงเที่ยวเดียว เนื่องจากพระม่วงเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่มีความสำคัญอะไรนัก ที่จะพอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอยู่บ้างก็เพราะชายทะเลแถบนี้มีสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ คนกรุงเทพฯชอบเรียกว่าปลาพะยูน แต่ผมไม่เคยเรียกอย่างนั้นเพราะไอ้หมูน้ำพวกนี้ไม่ใช่ปลา ก็มันมีเต้านมเบ้อเริ่มเทิ่มจะเป็นปลาได้ยังไง แถวบ้านผมเขาเรียกมันว่าดูหยง แต่ถ้าชาวสุราษฎร์เขาเรียกมันว่าหมูดุด ผมรู้ดีกว่าใครทั้งนั้นแหละ ผมรู้ไปถึงตับไตไส้พุงของมันทีเดียวเลย ผมกล้าสาบาน นี่ก็บ่ายแก่จนเกือบค่ำแล้ว ไอ้เด็กเวรนั่นยังไม่มาสักที ถ้าวันนี้มันมาไม่ทัน รายได้ร่วมหมื่นเดือนนี้ของผมเป็นอันต้องหายวับไปกับตา
ไอ้เด็กนั่นชื่ออะไรนะ ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าจะชื่อ “ คำหล้า ” หรืออะไรทำนองนี้ ใช่จริงๆ ชื่อมันแปลกจนผมสะดุดหูเมื่อได้ยินครั้งแรก สายส่งที่หาดใหญ่บอกผมว่ามันเป็นเด็กเหนือตัวอ้วนเหมือนหมู แต่ก็เฉลียวฉลาดใช้ได้ ความอ้วนของมันเป็นอุปสรรคในการหางานทำในเมืองหลวง มันเลยต้องตระเวนลงมาทางใต้ แม้กระนั้นบริษัทจัดหางานทุกแห่งในหาดใหญ่ก็ปฏิเสธการรับสมัคร โชคดีที่เพื่อนผมมันโทร.มาถามเพราะมันรู้ว่าผมกำลังต้องการผู้ช่วยอย่างยิ่ง
เด็กอีสานคนเก่าที่ช่วยงานผมมาเกือบปีลากลับไปสงกรานต์ที่บ้านแล้วก็หายสาบสูญไปเลย มันทำให้ผมสูญรายได้เดือนที่แล้วทั้งเดือน และผมก็กำลังเข้าตาจนด้วย ถ้าเดือนนี้ผมยังหาเงินไม่ได้เรือหาปลาลำเดียวของผมต้องถูกยึดแน่
ลมทะเลพัดมะพร้าวเอนลู่เป็นทาง มันพัดเอาเสียงคลื่นและเสียงมอเตอร์ไซค์เข้ามาพร้อมกัน ไอ้หนุ่มคำหล้ามาแล้ว มันอ้วนกว่าที่ผมคิด ตอนที่เพื่อนผมมันโทร.มาบอกว่าอ้วน ผมไม่นึกว่าจะอ้วนขนาดนี้ แต่ก็ช่างมันเถอะ ขอให้มันลงเรือได้ ถือไฟฉายได้ และแล่เนื้อได้ก็เพียงพอแล้ว อ้อที่สำคัญมันต้องไม่ปากสว่าง ข้อนี้ผมถือมาก มันทำท่าเก้ๆกังๆ แต่พอรู้ว่าผมคือคนที่ว่าจ้างมัน เจ้าหมูอ้วนก็ยกมือไหว้ผมนอบน้อม ท่าทางซื่อๆและยังอ่อนต่อโลก ผมพามันไปดูห้องเล็กๆหลังบ้าน เจ้าอ้วนพอใจกับค่าจ้างเดือนละหนึ่งพันพร้อมอาหารและที่พัก ก็น่าพอใจอยู่หรอก หมูอ้วนอย่างมันใครจะจ้างทำงาน เว้นแต่ผม
ผมปล่อยให้มันพักผ่อนตามสบาย โดยปกติผมไม่ใช่นายจ้างที่โหดเหี้ยมอะไรนักหนา แต่เวลาทำงานเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมอยากให้เจ้าอ้วนพักผ่อนเต็มที่ เพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนแรม งานสำคัญกำมันสำคัญมากเชียวแหละ ผมจะพลาดไม่ได้ เพราะถ้าผมพลาดผมก็จะขาดรายได้อีกเป็นเดือนที่สอง นั่นหมายความว่าเรือหาปลาของผมต้องถูกยึดแน่ แล้วจะเอาเงินที่ไหนส่งให้ลูกชายที่กรุงเทพฯ
คิดถึงลูกชายครั้งใดผมก็อดภูมิใจไม่ได้ ตั้งแต่แม่มันตายตอนอายุได้ ๑๐ ขวบ ผมก็ปลุกปล้ำมันมาตลอด อาชีพชาวประมงอาจพอเลี้ยงให้อยู่ได้ไม่ขัดสน แต่ถ้าหมายถึงส่งลูกเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ มันก็ดูจะเป็นความฝัน โชคดีที่เสี่ยฮงในตัวจังหวัดส่งคนมาทาบทามให้ผมหาเนื้อพะยูนป้อนตลาด มันอาจจะ
ยากเย็นเอาการ แต่ค่าตอบแทนจำนวนที่ผมไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนก็ช่วยให้ลูกชายคนเดียวของผมได้มีโอกาสไปเรียนบางกอกเหมือนลูกคนอื่นๆ แรกๆก็ยังพอหาได้อยู่หรอกเพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ที่เป็นมุสลิมไม่กินเนื้อพะยูน แต่ยิ่งวันไอ้พวกหมูน้ำก็ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ คงเป็นเพราะมันออกลูกแค่คราวละตัวกระมัง กว่าสิบปีที่คลุกคลีอยู่กับมันทำให้ผมได้เรียนรู้ขึ้นอีกเยอะ ก่อนโน้นมันเคยมีหลายฝูง ฝูงละหลายสิบตัว ฝูงใหญ่สุดมีร่วมร้อยตัว ดำผุดดำว่ายอยู่ตลอดแนวหญ้าทะเล ตั้งแต่เขาแบะนะ หาดหยงหลิง หาดเจ้าไหม ระเรื่อยมาถึงหน้าบ้านผม เดี๋ยวนี้มันอยู่กันแถวแหลมจุโหยซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเกาะลิบง เหลือเพียงฝูงเล็กๆนับรวมคงไม่เกิน ๔๐ ตัว กว่าจะล่าได้สักตัวก็หืดขึ้นคอพ่อค้าในตลาดมืดรู้ดีว่าผมเป็นพรานล่าพะยูนคนเดียวที่สามารถหาเนื้อพะยูนป้อนตลาด
ได้ทุกคืนเดือนแรม จะมีก็เดือนที่แล้วเท่านั้นที่ไอ้เด็กอีสานที่ผมจ้างไว้หนีกลับบ้านไป ทำให้เนื้อพะยูนขาดหนึ่งเดือนเต็ม พอๆกับเงินในกระเป๋าผมที่ขาดไปนั่นแหละ ที่จริงไอ้เด็กอีสานคนนั้นมันทำงานขยันขันแข็งดี เรียนรู้ทะเลได้เร็วใช้ได้ มันสามารถใช้ฉมวกยิงพะยูนในระยะ ๒๐ เมตรอย่างแม่นยำ
เด็กคนนี้ทำงานกับผมมาเกือบสองปี และไม่พูดมากด้วย แต่พอมันไปรู้มาว่าพะยูนเป็นสัตว์สงวนใกล้สูญพันธุ์เท่านั้น มันก็เผ่นหายไปเลย
ก็เสียวอยู่เหมือนกันว่ามันจะเอาเรื่องอาชีพของผมไปโพนทะนา แต่เดือนหนึ่งผ่านไป ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยโล่งอกและสุมหัวในวงโปปั่นด้วยความสบายใจ
ไอ้หมูอ้วนคำหล้านี่จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ผมบอกมันแค่ว่าเป็นงานออกทะเลล่าสัตว์ ท่าทางมันตื่นเต้น ฟังดูก็ทุเรศดีเหมือนกันที่มันบอกว่าเพิ่งเคยเห็นทะเลครั้งแรกในชีวิต ไอ้พวกเด็กจากป่าจากเขาคงเป็นแบบนี้ทุกคน

ห้าโมงเย็นผมปลุกไอ้หมูอ้วนให้มาช่วยเข็นเรือลงทะเล ลมพัดอ่อนๆขณะที่ผมพาเรือแล่นไปช้าๆตามแนวหาดเจ้าไหม น้ำใสมองเห็นทุ่งหญ้าชะเงาใบสั้นตะคุ่มอยู่ในระดับน้ำลึก ๕ วา เป็นแนวยาวเหยียดตลอดชายฝั่ง สมัยก่อนฝูงพะยูนชอบมาแทะเล็มหญ้าแถวนี้ ผมเคยแอบดูพวกมันกินหญ้าอย่างตะกละตะกลามตั้งแต่ยามเย็นจนสว่าง บางทีก็เกือบถึงเที่ยง แต่มาระยะหลังเมื่อมันถูกล่าจนลดจำนวนลง ผมก็ไม่เห็นพวกมัน ตอนกลางวันอีกเลย

ผมลอยเรือไว้หลังเกาะนกตรงสันเขาพอดี มองไปเห็นเกาะลิบงอยู่ลิบๆ พวกนายหัวอยู่กันที่นั่นแหละ เขตนี้เป็นเขตห้ามล่าพะยูน ต้องระวังตัวแจไม่ให้พวกมันเห็นได้ ผมคว้าเบ็ดราวมาหย่อนลงน้ำ กระตุกขึ้นกระตุกลงพักเดียวก็ได้ปลาเล็กๆหน้าโง่หลายตัวมันคงนึกว่าขนไก่ที่ปลายเบ็ดคงกินได้ ผมปลดพวกมันจากเบ็ด ตัดมันเป็นชิ้นร้อยร้อยเข้ากับเบ็ดขนาดกลางหย่อนลงทะเลแล้วให้เจ้าอ้วนถือไว้ ผมทำอย่างนั้นกับเบ็ดอีกสามสาย พักเดียวเจ้าอ้วนก็โวยวายลั่น ผมตะโกนบอกให้มันดึงสายเข้าเร็วๆ ถ้าเป็นปลาสากมันจะพุ่งกัดสายป่นปี้
แล้วปลาข้างเหลืองขนาดศอกก็ถูกวัดขึ้นบนเรือ มันเป็นสัญญาณว่าฝูงปลาเข้าแล้ว สายที่พันหัวแม่ตีนผมกระตุกวูบ ผมรีบสาวสายเอ็นโดยเร็ว เราได้ปลาข้างเหลืองขนาดไล่เลี่ยกันเจ็ดตัว เพียงพอแล้วที่จะเอาไปขายตลาด เพื่อให้เพื่อนบ้านคิดว่าผมเป็นชาวประมงธรรมดาๆที่มีรายได้จากการทำอาชีพสุจริต ผมบอกเจ้าอ้วนให้นอนพักเอาแรงไปจนกว่าจะถึงสองยาม
เรือเล็กๆไม่มีที่ว่างมากนัก มันถอดเสื้อหนุนนอนโดยเอาไม้กระดานปูพื้นพอให้นอนได้ พุงเป็นชั้นเหมือนพวกตลกอ้วนๆในหนัง แต่มันก็กระฉับกระเฉงคล่องแคล่วดี ผิวมันขาวสะอาดสมเป็นชาวเหนือ ผมเห็นรอยสักเล็กๆข้างสะดือ
“ สักอะไรเจ้าอ้วน ” ผมสงสัย คนเหนือชอบสักตามตัวแปลกๆ
“ พ่อกับแม่ครับ ” มันชี้ให้ดู คำว่าพ่ออยู่ข้างซ้ายของสะดือ แม่อยู่ที่ข้างขวา ตลกดี ไอ้ลูกแหง่
เสียงเจ้าอ้วนกรนแข่งกับเสียงคลื่นเล็กๆที่ม้วนตัวเข้าปะทะก้อนหินดังซ่าเบาๆ คืนนี้ เดือนดับจึงมองเห็นดาวใหญ่น้อยชัดเจน อากาศเริ่มเย็นจนต้องปลดผ้าขาวม้ามาห่ม ผมนั่งอัดยาเส้นรอเวลา ใจลอยไปถึงลูกชายคนเดียว มันกำลังอ่านหนังสือหรือเคลียคลออยู่กับสาวคนไหน เดือนนี้มันเร่งรัดค่าเรียนอีกหกพันบาท นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายประจำเดือนอีกสี่พัน นี่ถ้าเรือหาปลาของผมไม่ติดอยู่ในวงโปปั่น ผมคงไม่ร้อนเงินขนาดนี้หรอก และหากผมไม่มีเงินต่อดอกร่วมหมื่น เรือผมหลุดแน่ ผมยอมไม่ได้เด็ดขาดเพราะมันเป็นอุปกรณ์ยังชีพชิ้นสุดท้ายของผม
ดาวบนฟ้าบอกให้รู้ว่าสองยามแล้ว ผมงีบหลับไปเมื่อไรไม่รู้ ผมรีบปลุกเจ้าอ้วนให้ช่วยกันพายเรือไปอีกฟากหนึ่งของเกาะ ที่นั่นมีทุ่งหญ้าชะเงาเป็นแนวกว้างยาวเหยียด ฝูงพะยูนที่เหลือไม่เกิน ๔๐ กว่าตัวจะว่ายจากเกาะลิบงมาหากินที่เกาะนก ไอ้พวกหมูน้ำนี่เวลาตกใจมันว่ายน้ำได้เร็วพอๆกับเรือเครื่องเชียวแหละ แถมมันขี้ตื่นเอาเรื่องซะด้วย นี่คือเหตุผลที่ผมต้องค่อยๆพายเรืออ้อมมา ผมลอยเรืออย่างสงบ สอนหมูอ้วนคำหล้าให้รู้จักวิธีเปิดปิดไฟฉายแรงสูง มันพยายามถามผมสองครั้งว่าจะล่าอะไร แต่โดนผมตวาดเลยหุบปากเงียบ เรานั่งรอพวกมันอย่างสงบ

แล้วพวกมันก็มา มองเห็นเงาขาวรางๆ เวลาโผล่ขึ้นหายใจที่ผิวน้ำเพียง ๒-๓ วินาที มันก็มุดกลับลงไปใหม่ มันดำน้ำไม่อึดนักหรอกแค่ ๒-๓ นาทีต่อครั้ง ผมจะฉวยโอกาสนี้แหละพิชิตมันให้ได้สักตัว ไม่ใช่ผมมักน้อยหรอกนะ แต่ถ้าผมยิงได้ตัวหนึ่ง ไอ้พวกที่เหลือก็จะเผ่นแน่บกันไปเหมือนฝูงเรือเร็ว เคล็ดลับคือต้องเงียบ ต้องใจเย็นและต้องแม่นยำ
ผมกระซิบบอกให้คำหล้าถือไปฉายเตรียมพร้อม ท่าทางมันตื่นเต้นกว่าตอนตกปลา ผมฉวยฉมวกประจำตัวอย่างคุ้นเคย พวกหมูน้ำดำผุดดำว่ายเข้ามาเชื่องช้า มันโผล่ขึ้นแล้วก็มุดลงไปกินหญ้าใต้น้ำเสียงดังฟู่ เวลาที่หนังปิดรูจมูกโผล่พ้นน้ำพ่นลมหายใจออกมา ท่าทางมันจะมีความสุขกับใบชะเงาอ่อนๆใต้น้ำอย่างช้าๆ มันค่อยๆเคลื่อนฝูงเข้าหาลำเรือที่จอดรออยู่ มันไม่รู้หรอกว่ายมทูตยืนรออยู่แล้ว
“ ส่องไฟ ” ผมกระซิบบอก นิ้วสอดโกร่งไกเตรียมพร้อม ไอ้อ้วนเปิดสวิตซ์ลำแสงขนาด ๒๐๐ วัตต์สว่างจ้าจับพื้นน้ำมองเห็นฝูงปลาพะยูนขาวโพลน เฉพาะที่กำลังโผล่ขึ้นหายใจไม่น้อยกว่า ๑๐ ตัว ผมเล็งฉมวกไปที่พะยูนอ้วนขนาด ๒๐๐ กิโลตัวใกล้สุด นิ้วเตรียมกระดิกไก
ไฟฉายดับพรึบ ! เล่นเอาผมตาลาย
“ เป็นอะไรไอ้อ้วน ” ผมกระซิบ
“ ปลาพะยูนนี่น้า มันเป็นสัตว์สงวนนะ ” มันกระซิบตอบ
ความโกรธแล่นขึ้นหน้า เด็กสมัยนี้มันเป็นบ้าอะไรกันหมดวะ พะยูนที่กำลังจะสูญพันธุ์กับเรือที่กำลังจะถูกยึด อะไรมันน่าสงวนกว่ากัน
“ ส่องไฟเดี๋ยวนี้ ไอ้ลูกหมา ” ผมเค้นเสียงอย่างขัดเคือง ถ้าไม่กลัวฝูงพะยูนผละหนี ผมคงฟาดมันด้วยไม้พายแล้ว
มันตกใจกับหน้าตาถมึงทึงของผม ท่าทางมันลังเล
“ เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นมึงตาย ! ” ผมหันฉมวกไปทางมัน ไอ้อ้วนกลัวลาน มันยกไฟฉายมือไม้สั่น ฝูงพะยูนยังไม่รู้ตัว มันเข้ามาเกือบชิดเรือแล้ว แสงไฟสว่างพรึบขึ้นอีกครั้งหนึ่งผมเล็งฉมวกไปที่ตัวเมียขนาดใหญ่ มีลูกอ่อนตัวเล็กกำลังเคลียคลอที่เต้านม
ห่าเอ๊ย ! ไฟดับพรึบอีกครั้ง เสียงไอ้อ้วนตะโกนลั่น “ อย่ายิง มันมีลูกด้วย ”
เหมือนเกิดจลาจลในเรือ เสียงครีบหางตีน้ำดังโผง ฝูงพะยูนพุ่งร่างจากไปพอๆกับฝูงเรือเร็ว ความอดทนผมสิ้นสุดลง

ผมแล่นเรือเข้าเกยฝั่งช้าๆ ลูกค้าประจำรออยู่แล้ว ตีสามตรง
“ เป็นไง ” มันส่งเสียงทัก
“ น้อยหน่อย ” ผมยกกะละมังลงจากเรือ มันเข้ามาช่วยยกขึ้นตาชั่งท้ายรถกระบะ
อย่างชำนาญ มันต้องรีบทำเวลาเข้าตัวเมืองเพื่อนำเนื้อทั้งหมดไปตุ๋นยาจีนสำหรับลูกค้าพิเศษเช้านี้
ชาวจีนและมาเลย์เชื่อกันว่าเนื้อพะยูนเป็นยาโป๊ว น้ำมันใช้แก้ขัดยอกได้ ผมหั่นแยกเนื้อไว้เป็นชิ้นๆ
แล้วอย่างชำนาญเหมือนหมูสามชั้น เครื่องในอยู่อีกกะละมังหนึ่ง “ ตัวเล็กจริง เที่ยวนี้แค่ ๖๐ โล
สงสัยจะได้ลูกอ่อน ” ผมยิ้มรับ
มันจ่ายเงินปึกใหญ่ให้ผม ก็พอต่อดอกและส่งให้ลูกชาย อาจเหลือสักนิดพอเข้าวงโปปั่น สายตาเหลือบแวบเห็นอะไรบางอย่าง ผมดึงเนื้อติดหนังออกชิ้นหนึ่ง
“ อะไรวะ จ่ายเงินแล้วยังชักคืนอีก ของมีน้อย ” เสียงมันโวยวาย
“ ขอไว้สักชิ้น ” ผมจ่ายคืนสามร้อย
เสียงรถกระบะหายลับไป ผมยกเนื้อติดหนังก้อนนั้นดูชัดๆอีกที
ใช่จริงๆ มีรอยสักว่า “ พ่อ แม่ ” อยู่บนหนังขาวซีด ผมสะเพร่าอย่างไม่น่าให้อภัย
“ เกือบไปแล้วกู ” ผมขว้างมันลงทะเลไป
ความคิดแวบเข้าสู่สมอง สายวันนี้ผมน่าจะเข้าอำเภอโทร.บอกเพื่อนที่หาดใหญ่ให้หาผู้ช่วยให้สักคน เอาที่อ้วนๆ ขาวเหมือนหมู ยิ่งอ้วนมากเท่าไรยิ่งดี

โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย - ร้อยกรองแด่สถาบัน





วิญญาณลูกเขียวแดง

O ลพบุรีมีวิญญานการศึกษา สิงสู่มาเกินร้อยปีมีหลักฐาน
เสาธงทองประเดิมเริ่มหลักการ วัดวิญญาณสถิตมั่นแต่นั้นมา
หลวงพ่อขาวเฝ้าดูรู้ทุกสิ่ง แหล่งอ้างอิงรวมหลักธรรมอันล้ำค่า
เกิดโรงเรียนสืบสานงานวิชา มีสมญา “ พิบูลวิทยาลัย ”
ธงเขียวแดงสื่อสัมพันธ์สัญลักษณ์ แสนทรงศักดิ์สร้างความดีที่ยิ่งใหญ่
สอนศิษย์มีความรู้คู่เมืองไทย อบรมให้เป็นคนดีมีคุณธรรม
ผืนเขียวแดงแผ่นดินนี้มีวิญญาณ ร่วมสืบสานมรดกไม่ตกต่ำ
หลวงปู่เนียมสถิตร่างอย่างผู้นำ จอมพล ป. เสริมย้ำให้ยืนยง
สีเขียวคือวันพุธท่านจุติ แดงแรกผลิละเอียดงามความสูงส่ง
ผ้าสองสีสบัดชายปลายเสาธง โคนปักลงกลางวิญญาณงานของครู
ครูที่นี่มีวิญญาณการสอนสั่ง จิตใจตั้งในซื่อตรงให้คงอยู่
รู้หน้าที่มีวินัยชั่งใจดู ใช่แม่ปูพาลูกตรงกลับหลงทาง
ศิษย์เขียวแดงมีวิญญาณการเป็นศิษย์ จึงตั้งจิตพากเพียรเรียนแบบอย่าง
เลือกรักดีชั่วจะเลิกละวาง ร่วมกันสร้างเกียรติระบือชื่อพิบูลฯ
ศิษย์เขียวแดงหมื่นพันในวันนี้ ยังพร้อมที่สร้างเกียรติไกลไม่เสื่อมสูญ
มอหกรุ่นร้อยแปดปีนี้อาดูร ขอเทิดทูนรวมดวงใจให้เขียวแดง.

ศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ

อาลัยพระพี่นาง - กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์


พระเชษฐภคินีในดวงใจ

O ฟ้าสิ้นดินเทวษไห้ โหยครวญ
สามโลกโศกกำสรวล ทั่วหล้า
กัลยาณิวัฒนาด่วน ชีพดับ พระชนม์นอ
น้ำเนตรหลั่งท่วมฟ้า จรดฟ้าครวญถวิล
O ทรวงเพียงแตกแล่งร้าว รานใจ
พระพี่นางภูวนัย มอดม้วย
ทุกข์เกินทุกข์ใดใด เดิมโศก เศร้าแล
แบ่งธุลีทุกข์ฉ้วย บาทข้าทูลสนอง
O ใจป่นปานมอดไหม้ หมดทรวง
ญาณจึ่งปราศรสปวง เปล่ารู้
ชีพตอบแต่ล่อลวง เรือนร่าง รู้ฤา
สิ้นพระพี่นางผู้ แม่แม้นมิ่งขวัญ
O เชิญปวงไทยทั่วหล้า สากล
ทำแต่ดีส่งกุศล พรั่งพร้อม
กอปรกิจเพื่อภูมิพล ภูมิแผ่น ดินเฮย
พลิกเศรษฐกิจเพื่อน้อม นาถเจ้าจอมสยาม
O พร่ำเพรียกเพียงพ่อเอื้อน อบรม
ราษฎร์จึ่งควรบังคม ใส่เกล้า
พรรษาแปดสิบสม ควรสืบ สานนา
ดินเกิดแผ่นใดเฝ้า พลิกฟื้นสืบสาน
O ปวงพิบูลฯข้าบาทค้อม บังคม
สืบสนองในปรารมภ์ พิลาสหล้า
กิจเกื้อประชาสม - บูรณ์สุข ถ้วนแฮ
สถิตพรหมพิมานฟ้า อยู่ฟ้าแมนสรวง โสตถิ์เทอญ.
ศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ

5 มกราคม 2551
แด่พระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ
สิ้นพระชนม์เมื่อ 2 มกราคม 2551
เวลา 02.54 น.
ฟังบทเพลง ส่งนางฟ้ากลับสวรรค์

ภาษาไทยสื่อของหัวใจ - เรื่องสั้น


เพื่อนของผม
คำกก- ศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ
ผมเชื่อว่าผู้ใหญ่ทุกคนต้องเป็นคนดีเพราะเขาใช้ชีวิตผ่านวัยวาร จากวัยเยาว์และรับผิดชอบสิ่งต่างๆมามากมาย ผมไม่เคยมีอคติและคาดหวังอะไรในตัวผู้ใหญ่นอกจากความเชื่อว่า ผู้ใหญ่ทุกคนเป็นคนดีและเด็กอย่างผมสามารถพึ่งพิงผู้ใหญ่ได้เสมอ ไม่ว่าพ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา หรือครู
นายสมนึก พิพัฒน์ ชื่อผมเอง ผมเรียนหนังสืออยู่ชั้นม.๕/๔โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ โรงเรียนของผมตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนานับพันๆไร่ ผมมีความสุขกับการเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติรอบๆโรงเรียนมากกว่าการเรียนหนังสือตั้งแต่เปิดเทอมถึงปิดเทอม ลุง ป้าและชาวบ้านกลุ่มใหญ่จะนั่งอีแต๋นแยกย้ายกระจายหายไปกับแปลงนาของตนและปักดำข้าวกล้า ไม่นานกล้าก็ใหญ่และแข็งแรงยืนต้นเขียวไสวไปทั่ว ต้นมะพร้าว ต้นกล้วยตามคันนาแกว่งใบยาวรีล้อลมเล่นไปมา นกกระยางขาวฝูงใหญ่โผลงกลางทุ่งข้าวแทรกตัวหากุ้งหอยปูปลาไม่รีบร้อนตั้งแต่เช้ายันเย็น
ธรรมชาติเช่นนี้สร้างความสุขแก่ผมมานับสิบปี มันสงบกว่าอยู่บ้านฟังเสียงเครื่องมือซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อที่โยนลงกล่องเครื่องมือดังแกร๊งๆเป็นระยะๆ และเสียงเข้มๆของพ่อสั่งหยิบโน่นหยิบนี่จนกว่าจะซ่อมมอเตอร์ไซค์เสร็จ ผมอยากจะไปช่วยลุงกับป้าทำนามากกว่าจะเป็นช่างซ่อมรถจิปาถะเหมือนพ่อ มันดูเร่งรีบ วุ่นวายและสกปรก แต่จะให้ไปค้าขายเหมือนแม่ยิ่งทำไม่ได้แน่ๆเพราะเสียงแม่ที่ร้องขายกับข้าวสำเร็จมันออดอ้อนชวนให้ผู้ฟังวิ่งออกมาซื้อไปตลอดเส้นทาง อย่างดีผมก็แค่ช่วยแม่เข็นรถแบบขวยเขินทำหน้าเจื่อนๆอย่างทุกข์ทรมาน
“ ครูจะขอบอกผลการสอบกลางภาควิชาสังคมศึกษา คะแนน ๒๕ คะแนน ”
ครูมนูญ ซึ่งจบปริญญาโทปีกลายกลับมาสอนสังคมผมอีก
“ น.ส.กนกรัตน์ ๒๔ คะแนน น.ส.กนกวรรณ ๒๒ คะแนน นายพิชชา ๒๐ คะแนน.........”
ครูมนูญมักละเอียดรอบคอบจัดเรียงลำดับคะแนนสูง – ต่ำมาบอกพวกเรา แต่ก็ไม่น่าตื่นเต้นสักนิดเพราะใครๆก็รู้ว่าใครจะอยู่ในกลุ่มไหน
“ นายสมนึก ๗ คะแนน......” ผมได้ยินแว่วๆแต่ก็ยิ้มเพราะมีเพื่อนต่อคิวผมไปอีก ๒ คน แต่ทว่าได้คะแนนเหมือนผม
“ นายสมนึก เธอเรียน ม.๕ แล้วนะ ปีหน้า ม.๖ และจะต้องใช้วุฒิม.๖ไปสอบแข่งขันเรียนต่อที่อื่นๆอีก เธอยังเหลวไหลไม่เปลี่ยนแปลง หนีโรงเรียนเป็นประจำ การเรียนไม่มีพัฒนา ไม่ดูตัวอย่าง อย่างนายพิชชาเขาบ้าง.......”
ผมทำหน้าสลด ยอมรับผิดกับครูมนูญเหมือนเคยเพื่อให้แกสบายใจ คำตักเตือนของแกทำเอาผมซึ้งใจทุกครั้งและนึกขอบคุณแกในใจเสมอ แล้วผมก็ลืมมันให้ผ่านไปเร็วดั่งสายลม ผมรู้ระบบการเรียนดีว่าถ้าตก ติด ๐ , ร , มส. ผมไปยื่นคำร้องมาสอบแก้ตัวผมต้องผ่าน ผมต้องรับผิดชอบในการเรียนและการสอบแก้ตัว จะได้เอาเวลาส่วนใหญ่ไปนอนเล่นที่เพิงเล็กๆด้านหลังโรงเรียน เฝ้ามองท้องฟ้า นาข้าว กอบัว ปลาซิว ปลาหมอว่ายผ่านกอข้าวไปมา หรือมากู้เบ็ดราว ๔ – ๕ คันที่ปักดักปลาช่อนเอาไว้ พอได้ยินเสียงกริ่งสัญญาณเลิกเรียนจึงวิ่งลัดเลาะเข้ามาภายในโรงเรียนและกลับบ้าน
บ้านของผมอยู่ในตลาด ตลาดอยู่ทิศเหนือห่างจากโรงเรียนประมาณ ๑ กิโลเมตร ผมมีจักรยานประจำตัวคันหนึ่ง พ่อบังคับให้ถีบมาเรียนหนังสืออย่างตรงไปตรงมา ไม่เถลไถล พ่อซ่อมให้ด้วยมือพ่อเองทุกอย่างตั้งแต่ขัด พ่นสี ดัดวงล้อ เปลี่ยนโซ่ ยางใน ฯลฯ แรกๆมันทำให้ผมภูมิใจมาก เป็นพาหนะคู่กายที่เพื่อนๆหลายคนอิจฉายกเว้นแต่พิชชา กนกรัตน์ และกนกวรรณ
พ่อของพิชชาเป็นนายตำรวจและแม่เป็นพยาบาลทำงานในตัวจังหวัด พ่อพิชชาขับรถปิกอัฟรุ่นใหม่มาส่งที่โรงเรียนและรับกลับทุกวัน บางวันอาจเป็นรถเก๋งของแม่บ้างแต่ไม่บ่อยนัก พิชชาเป็นความหวังของพ่อ พ่อต้องการให้เรียนนายร้อยตำรวจ ส่วนพี่สาวและน้องสาวเป็นภาระของแม่ที่จะปลูกฝังให้เป็นพยาบาลหรือเภสัชกร ตอนอยู่ม.ต้นพิชชาเรียนในโรงเรียนในจังหวัดแต่คะแนนไม่ถูกใจพ่อจึงให้มาเรียนที่นี่เพราะอาจารย์ใหญ่มีฐานะเป็นลุงของพิชชา พิชชาเป็นเพื่อนที่ดีของผม เราเรียนด้วยกันตั้งแต่ม.๔ เล่นฟุตบอล ตะกร้อ ฝึกลูกเสือ ฯลฯ เขาไม่เคยรังแกหรือเอาเปรียบใครเลย เป็นเด็กหัวอ่อนกลับบ้านกับพ่อตรงเวลาทุกวัน
กนกรัตน์และกนกวรรณเป็นพี่น้องกัน หน้าตาคล้ายๆกันเหมือนฝาแฝดแต่ไม่ใช่ ทั้งคู่อยู่บ้านห้องแถวใกล้ผม แนวถนนสายเดียวกับผมแต่ถัดไปห้องแถวหนึ่ง เราสามคนเติบโตมาด้วยกัน เคยเล่นสนุกกันแบบเด็กๆ เช่น มอญซ่อนผ้า กระโดดเชือก แต่ไม่บ่อยนัก กนกรัตน์มีชื่อเล่นว่าอ้อย กนกวรรณมีชื่อเล่นว่าตาล พ่อของเธอตายตั้งแต่ยังเล็กเพราะอุบัติเหตุ แม่ต้องใช้หนี้ธนาคารแทนพ่อ จนต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่อยู่พักหนึ่ง อ้อยกับตาลต้องช่วยแม่ค้าขายของจิปาถะ ใส่สาแหรกหาบขายบ้าง ตั้งขายบ้าง เข็นรถขายบ้าง จนต่อมาเก็บเงินทองได้ก็มาเปิดร้านขายของชำในห้องแถวเช่าซื้อจนถึงเดี๋ยวนี้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือทั้งคู่มีผลการเรียนดีเสมอมา
“ อยู่บ้านเธอทำอะไรบ้าง ? ” ผมเคยถามอ้อยและตาลพร้อมกัน
“ ก็เฝ้าหน้าร้าน ช่วยแม่ขายของ ” ตาลตอบ
“ อะไรอีก ”
“ ทำการบ้าน และอ่านนิตยสารให้แม่ฟังหลังอาหารเย็น ” อ้อยตอบ
“ อะไรคือนิตยสาร ”
“ เป็นหนังสือของแม่และของพ่อที่เคยอ่านประจำ แม่จะซื้อมาไว้เสมอ มีนิยาย นิทานและความรู้ให้อ่านมากมาย ” อ้อยและตาลยิ้มอย่างภูมิใจ
วันนี้ผมไม่ได้เอาจักรยานมาโรงเรียนเพราะพิชชาบอกว่าพ่อจะมารับช้าหน่อย ให้ไปรอที่บ้านอาจารย์ใหญ่ในตลาด ผมจึงสบโอกาสอยากเป็นเพื่อนร่วมเดินทางกลับบ้านกับพิชชา อ้อยและตาล คงสนุกดีกว่าถีบจักรยาน ผมวิ่งลอดรั้วหลังโรงเรียนอย่างรีบร้อน ลัดเลาะต้นหูกวางออกมาหน้าโรงเรียน เห็นเพื่อน ๓ คนเดินนำหน้าไปไกลโข ก็รีบโกยอ้าว
“ อ้อย ตาล รอสมนึกด้วย ” พิชชาหันมาเห็นผมเหมือนมีญาณวิเศษ
“ พ่อตัวดี หนีไปหลบที่ไหนมาอีกล่ะ ถ้าครูปกครองเขาจับได้ก็ถูกเฆี่ยนอีก ” ตาลทำตาเขียวใส่
“ ก็ที่เก่าแหละ เงียบสงบดี รับรองไม่มีใครรู้ ” ผมยิ้มแก้มปริ ไม่รู้สึกผิดใดๆ
“ วันหลังเราน่าจะลองไปดูมั่งนะ ” พิชชาพูด ท่าทางเอาจริงและมองสบตา ๒ สาวรุ่นก่อนจะเปลี่ยนใจ “ ล้อเล่นน่า ”
“ นึกแล้ว พิชชาไม่กล้าแน่ ” ตาลพูดขึงขังพร้อมขยับสายกระเป๋าสะพายให้ตึง
“ พิชชากลัวพ่อจะตาย ” อ้อยพูดขึ้นบ้าง
“ เราว่าเราไม่ใช่คนกลัวพ่อนะ แต่อยากทำตัวให้พ่อสมหวังมากกว่า ” พิชชาตอบด้วยเหตุผล
สายลมกรรโชกผ่านมาวูบหนึ่งพัดเอากลิ่นไอข้าวและฟางหญ้าแห้งเข้าจมูก รู้สึกสดชื่น พวกเราทำเวลาและระยะทางห่างโรงเรียนออกมาจนเกือบเข้าสู่ตลาด ผมจึงคิดถึงเรื่องอะไรออก
“ ไอ้พิชชา เอ็งยังคิดว่าข้าเป็นเพื่อนอยู่รึเปล่า ? ” คำพูดแปลกๆของผมทำให้พิชชาหยุดนิ่ง อ้อย ตาลก็หยุดเดินและอยากรู้ว่าทำไปผมจึงพูดแปลกๆออกมา
“ สมนึกจะหาเรื่องพิชชาทำไมนะ ” อ้อยพูด ประโยคนี้ทำให้ผมลดเสียงลง
“ เปล่าหรอกน่า ” “ แต่ฉันเผอิญได้ยินอาจารย์ใหญ่คุยกับครูมนูญเรื่องพ่อของพิชชา ” พิชชาลดสายตาลงต่อ
“ เป็นเรื่องจริง ? !! ” ผมตบไหล่เพื่อนเบาๆทั้ง ๒ แขน พิชชาหันหลังกลับ เดินก้มหน้าไม่ยอมพูดอะไรไปตลอดทาง ทำเอาทุกคนหยุดพูดเดินตามไปห่างๆ อ้อย ตาล ชำเลืองหางตามองผมเป็นระยะด้วยความอยากรู้ แต่พอถึงทางแยกใหญ่พิชชาก็เดินตรงไปบ้านอาจารย์ใหญ่ ส่วนเราสามคนเลี้ยวซ้ายไปทางเดียวกัน
อ้อยกระตุกแขนผมเบาๆ แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมตอบว่าได้ยินอาจารย์ใหญ่พูดว่ามีผู้หญิงมาติดพันพ่อของพิชชา ทำให้มีปากเสียงกับแม่
“ สงสารพิชชานะ ” อ้อยตอบ
“ ชอบพิชชาละสิ ” ผมกระเซ้า ทำเอาอ้อยหน้าแดงก่ำขึ้นทันตา วิ่งไล่หยิกข่วนผมไปตลอดทาง ส่วนตาลก็วิ่งหัวร่อร่าตามมา แล้วเราก็กลับถึงบ้าน
วันต่อมาก่อนกลับบ้านทุกครั้งเราสามคนจะคอยสังเกตพฤติกรรมพ่อลูกคู่นี้ขณะมารับพิชชาที่หน้าโรงเรียน เราคิดว่าจะพบอะไรที่ทำร้ายจิตใจของพิชชาแต่กลับผิดคาด ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จนหมดสนุกและลืมเรื่องนี้ไปหลายวัน
“ พ่อกับแม่เราคืนดีกันแล้ว ” พิชชาพูดเอง ใบหน้าแจ่มใส ดวงตาเป็นประกาย
“ เราเกลียดพ่ออยู่หลายวัน นั่งรถไม่ยอมสบตา ไม่พูดด้วย ” “ พ่อบอกว่าให้ลูกตั้งใจเรียน เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ พ่อจะไม่ทำร้ายจิตใจลูก จะแก้ปัญหาเอง ”
“ เออ.....พ่อนายแน่มากว่ะ ” ผมกับพิชชาระเบิดเสียงหัวเราะลั่นสนามและเสียงนั้นก็เงียบหายไปกับสายลมกลางทุ่งนาที่ล้อมรอบอย่างรวดเร็ว
วันปัจฉิมนิเทศนักเรียนชั้นม.๖ของโรงเรียนจำนวน ๔ ห้อง ประมาณ ๑๖๐ คน ดูช่างคึกคักไม่หยอก จนนักเรียนทุกคนอดประหลาดใจไม่ได้ อาจารย์ใหญ่เชิญผู้ปกครองนักเรียนทุกคนมาร่วมพิธี บนเวทีมีข้อความตัวโตเขียนว่า “ ปัจฉิมอาลัย – ก้าวไปเพื่ออนาคต ”
ตอนแรกให้นักเรียนอยู่แถวด้านหน้า ผู้ปกครออยู่ด้านหลัง มีพระมาเทศน์ ประพรมน้ำมนต์ อาจารย์ใหญ่ให้โอวาทและกล่าวอวยพร อาจารย์อื่นๆพูดอีก ๔ – ๕ คน มีการรำอวยพรและล่ำลาอาจารย์ผู้สอน
พวกเราก้มลงกราบอาจารย์ทุกท่านด้วยความรู้สำนึกอย่างรุนแรงในวินาทีนั้น ทำเอาเนื้อตัวเย็นเฉียบ อารมณ์สลดจนจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ จากนั้นก็นำดอกไม้มามอบให้อาจารย์ใหญ่ อาจารย์ผู้สอนและเพื่อนๆต่างห้องจนดูวุ่นวายพักใหญ่ อาจารย์ใหญ่ประกาศว่าให้ไปร่วมรับประทานอาหารตามที่จัดไว้ ให้ผู้ปกครอบกับนักเรียนรับประทานอาหารร่วมกัน
วันนั้นเป็นวันที่ผมได้ใกล้ชิดพ่อแม่ของพิชชามากที่สุด พ่อแม่พิชชาแต่งกายดีพูดจาสุภาพ ไม่ถือตัว พูดคุยกับแม่ของอ้อยและตาลด้วยกิริยายิ้มแย้ม อาจารย์ใหญ่ก็ยังมาร่วมรับประทานกับโต๊ะพวกเรา แต่พ่อแม่ของผมที่เคยพูดมากกลับเงียบไม่ค่อยพูดอะไรมากนัก ผมต้องยิ้มให้พ่อกับแม่ตลอดเวลาเพื่อรักษาหน้าแกไว้ เป็นภาพเหตุการณ์สุดท้ายที่ผมจดจำไว้ได้ในช่วงการเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
ครอบครัวผมรับประทานอาหารมื้อเย็นวันนั้นอย่างมีรสชาติแห่งการตำหนิมากกว่ารสชาติของอาหาร เป็นการตำหนิที่พรั่งพรูจากจิตใจทั้งของพ่อและแม่ต่อผลการเรียนของผม
“ คะแนนแก ๑.๙๘ กับของลูกคุณตำรวจและของลูกสาวพี่อุบลวรรณทั้ง ๓ คนมันห่างจากของแกลิบลับ ฉันละอายเขาเมื่อกลางวันจนไม่รู้จะพูดยังไงดี.........” พ่อพูดออกมาจากใจถึงความห่วงใยที่มีต่อผม ผมรู้ดี ผมรู้ดี
“ กินข้าวให้อิ่มก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องของมันต่อเถอะพ่อ ”
“ พูดมาเป็นนานสองนานก็เท่านั้น เมื่อลูกเราหัวมันไม่เอาถ่าน ก็ต้องยอมรับ ให้มันฝึกงานช่างซ่อมรถราอยู่กับแกที่นี่แหละ ” แม่มองสบตาผมเหมือนจะปลอบใจ แต่แวบความคิดก็ได้รับคำตอบในใจว่า แม่รู้ว่าผมโง่ ผมโง่จริงหรือ ?
“ งานซ่อมรถรา มันก็ไม่ได้ความ ไม่เอาอะไรจริงจังสักอย่าง ได้แต่หยิบๆจับๆแล้วก็หายหัว สู้ไอ้ป้อมลูกจ้างมันก็ไม่ได้ มันมาอยู่ช่วย ๒ – ๓ ปี เดี๋ยวนี้มันจะเก่งกว่าฉันเสียอีก ” คำพูดของพ่อช่างหนักแน่นและน่าเกรงขาม
พระจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือยอดมะพร้าวหลังบ้าน
ถึงจะเวลา ๒ – ๓ ทุ่มแล้วผมก็ยังมองเห็นโรงเรียนสว่างอยู่รำไรสุดสายตา โรงเรียนที่ผมรักและผูกพันเพราะอยู่ที่นี่ตั้งแต่ ป.๑ – ม.๖ ความเงียบช่วยให้ความคิดสงบขึ้น ภาพอดีตปรากฏขึ้นเป็นช่วงๆ ผมยิ้มรับอดีตนั้นอย่างสุขใจแต่ก็ต้องชะงักยิ้มนั้นไว้เมื่อปรากฏภาพครูมนูญตำหนิผมในชั้นเรียน ภาพครูปกครองลงโทษด้วยการเฆี่ยนและเก็บขยะ ภาพพ่อแม่ส่ายหัวเอือมระอาต่อความไม่เอาถ่านด้านการเรียนของผม ความจริงการเรียนในโรงเรียนเป็นเรื่องสนุก มีเพื่อน มีเรื่องสนุกให้ทำทั้งวัน ทั้งวิ่งเล่น เตะฟุตบอล ตะกร้อ ทำรายงาน ทำการบ้าน ฯลฯ วันต่อวันช่างรวดเร็ว
แล้วผมจะต้องออกจากโรงเรียนนี้ไปเพราะผมจบม.๖แล้ว แต่สายตาผู้ใหญ่หลายๆคนช่างทำให้ผมหวั่นใจ ทำไมเขาต้องรุมตำหนิผมหรือเพราะเกรดเฉลี่ย ๑.๙๘ ผมว่าผมเรียนเต็มที่แล้วนะ
ครูมนูญผู้เคร่งตำราและรักหนังสือ ครูคงอ่านหนังสืออะไรสักเล่มในบ้านพักครูในโรงเรียน หรือดูข่าวในทีวี หรือเตรียมการสอน หรือเดินไปคุยกับครูเพื่อนบ้าน
กนกรัตน์ กนกวรรณและพิชชา คงไม่ยอมห่างจากโต๊ะเขียนหนังสือ พิชชาคงยังมุ่งมั่นอ่านหนังสือเพื่อสอบเตรียมทหารให้ได้เหล่านายร้อยตำรวจจะได้สมใจพ่อ การอ่านและการเรียนหนังสือให้เก่งเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ผู้ใหญ่ภูมิใจกับชีวิตวัยเยาว์ของเรา ผมไม่อาจจะเห็นด้วย
ผมเชื่อว่าผู้ใหญ่ทุกคนเป็นคนดีแน่เพราะเขาเลี้ยงดูลูกเมียสามีได้ เขาต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานต่างๆนานา การตำหนิเด็กๆอย่างผมบ้างย่อมแสดงถึงความรัก ความห่วงใย ความมีเมตตา แต่จะให้ผมน้อมรับและน้อมตัวปฏิบัติตามโดยดีนั้นคงจะไม่ได้ ก็ลุงกับป้าเฝ้าฟูมฟักไร่นาเพื่อต้นข้าวจะได้ออกรวงเต็มๆหนักๆ ข้าวจะได้มีราคา แต่ข้าวก็ไม่เห็นจะเชื่ออะไรได้ บางปีมันก็รวงเต็ม บางปีมันก็รวงลีบเล็กแคระแกรน ก่อนออกรวงมันได้แต่โบกใบพร้อมๆกับล้อลมเล่นไหลพลิ้วเป็นลูกคลื่น มองดูสดชื่นสวยงามจับใจ แต่พออีกเดือนมันอาจทำให้ลุงกับป้าผิดหวัง เหมือนผมผมอยากอิสระ ทำตัวสดชื่น แต่ก็ทำให้ผู้ใหญ่ผิดหวัง.........แต่อาจจะไม่ตลอดไป
ปัจจุบันนี้ ผมยังอยู่บ้านนอกช่วยลุงกับป้าทำนาและช่วยสานต่อร้านซ่อมรถของพ่อ ผมบวชเมื่อปีกราย พ่อ – แม่ ลุง – ป้าปลื้มใจกันยกใหญ่ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมาช่วยงานมากมาย อาจเป็นเพราะกิจการร้านซ่อมรถของพ่อดีขึ้น พ่อ-แม่ช่วยกันเก็บเงินต่อเติมร้านซื้ออะไหล่แท้มาจำหน่ายและเปิดขายรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์มือสอง ธุรกิจของพ่อผมมีส่วนช่วยอย่างมาก ผมเป็นคนช่วยออกความคิดดีๆหลายอย่าง ไปขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆร่วมโรงเรียนบ้าง ได้รับความเชื่อใจจากสังคมในอำเภอมากขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจของพ่อก็งอกงามขึ้น
ผมยินดีกับกนกรัตน์และกนกวรรณ ปีหน้าทั้งคู่จะจบพยาบาล สองพี่น้องก็ยินดีกับผมด้วยเช่นกัน
“ กำนันชมว่า ไร่นาสวนผสมของสมนึกให้ผลผลิตดีมาก ทำรายได้ให้กับลุง-ป้าและพ่อ-แม่ของเธออย่างงาม เกษตรกรรอบๆต้องมาศึกษาวิธีการจากสมนึก เดี๋ยวนี้สมนึกเป็นคนดังด้านการเกษตรไปเสียแล้ว......” กนกรัตน์จ้องตาผมด้วยแววตาคู่งามเป็นประกาย กนกวรรณต้องหยิกแขนพี่สาวเตือนให้รู้ตัว
“ เธอไม่รังเกียจคนจบวุฒิเพียงม.๖อย่างผมเหรอ....”
“ แต่การเรียนมสธ.ด้านเกษตรของเธอได้จบเพียง ๓ ปีเศษ ทำเอาฉันทึ่งเธอมากกว่า ”
ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมๆกันจนผมลืมตัวจากการสำรวมว่านั่งเป็นนาค
“ วันนี้ไม่มีพิชชามาด้วยหรือ ? ” ผมถามอ้อยตาลพร้อมๆกัน เวลาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งจนผมรู้สึกและยังไม่มีใครพูดอะไรอีก
“ ครอบครัวพิชชาย้ายเข้ากรุงเทพฯ เมื่อพิชชาสอบเข้าเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานได้ และข่าวคราวก็หายเงียบไป ” กนกวรรณพูดทำลายความเงียบออกมา
กนกรัตน์ กนกวรรณและพิชชาเป็นเพื่อนที่ทำให้ผมไม่อาจลืมความสุขทุกอย่างในวัยเรียนที่ผ่านมาได้ ความสุขความทุกข์ต่างๆครั้งนั้นทำให้ผมก้าวมาถึงชีวิตวันนี้ ผมชอบชีวิตเรียบง่าย ไม่อยากวิ่งไปข้างหน้าให้เร็วนัก ไม่อยากเอาชนะใคร ไม่อยากให้ใครผิดหวังเสียใจ ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งของทุ่งนา ของพืชผักสวนครัว ของสระน้ำและพันธุ์ปลา ของสวนผลไม้ย่อมๆ ของท้องฟ้า สายลม หยาดฝน แสงแดด ผมเฝ้าสังเกตสิ่งเหล่านี้มาตลอดชีวิต ผมเคยเรียนแย่จนถูกพ่อ แม่ ลุง ป้าและครูตำหนิมาแล้ว
เดี๋ยวนี้ผมจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ผมจะไม่มีเวลาให้พ่อ แม่ ลุง ป้าเสียใจกับผืนนาและธุรกิจซ่อมรถที่ท่านจะมอบแก่ผม ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังเด็ดขาด แม้แต่เพียงต้นหญ้าสักต้นก็จะไม่ยอมให้มันชอกช้ำ เพราะธรรมชาติคือชีวิตของผมนายสมนึก พิพัฒน์ด้วยเช่นเดียวกัน.