วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

สมเพียร เอกสมญา

พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

O สุดอื้อฉาวคราวโยกย้ายนายตำรวจ แสนเจ็บปวดปี ’53ความฉาวโฉ่
แลกชีวิตเทพเจ้าเขาบูโด พร้อมกองโล่วีรกรรมถูกย่ำยี
O กรมพิทักษ์สันติราษฎร์ขาดความชอบ ไร้ระบอบเกียรติวินัยไร้ศักดิ์ศรี
เมื่อปลายยอดนครบาลค้านความดี จึงต้องมีวิญญาณต้านความเลว
O เพียรขาเหล็กตำรวจเล็กแต่ใจใหญ่ ความภูมิใจต่อรอยแยกที่แหลกเหลว
สร้างสำนึกอำมาตย์ไพร่ด้วยไฟเปลว เมืองปากเหวบันนังสตาท้าความตาย
O เนี้ยบ แซ่เจ่งสัญชาติไทยหัวใจแกร่ง หวังตำแหน่งเพียงตำรวจอวดเครื่องหมาย
รักเครื่องแบบและหน้าที่ศักดิ์ศรีชาย นพต.สู่บั้นปลายยศนายพัน
O ชื่อสมเพียรแล้วเปลี่ยนนามสกุลใหม่ เอกสมญายิ่งภูมิใจสมใฝ่ฝัน
สามสิบปีในพื้นที่เหมือนลงทัณฑ์ เกินจำนรรแต่หยัดยงกลางสงคราม
O โอ้ปักษ์ใต้เมืองยะลาอยากลาลับ ให้พ้นกับแวดวงพงขวากหนาม
รบศัตรูกี่โขยงกี่โมงยาม ไม่ครั่นคร้ามรบกับผีสีเดียวกัน
O ภาพน้ำตานักรบกลบคลอเบ้า เสียงกระเส่าแต่องอาจไม่หวาดหวั่น
ทั้งเครื่องแบบทั้งแววตาว่ารำพัน ยังตื้นตันในหัวใจไทยทั้งมวล
O ดอกลมแล้งช่อยาวพราวระย้า วันเวลาจะกินกลืนไม่คืนหวน
จะลืมเรื่องวีรกรรมลืมคร่ำครวญ จะชี้ชวนลืมง่ายง่ายเหมือนสายลม
O สุคติ ณ จุดหมายภพปลายฟ้า เอกสมญาวีรกรรมนำสุขสม
สมชื่อเพียรสู่สวรรค์ในชั้นพรหม อย่าปรารมณ์โลกีย์โลกสิ้นโศกเทอญ.
ศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ

" ผมทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาเกือบ 30 ปี ผมก็ได้ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ ขณะนี้เหลืออายุราชการอีกแค่ 1 ปี 6 เดือนก็จะเกษียณแล้ว จึงคิดว่าถึงเวลาที่จะไปปฏิบัติงานนอกพื้นที่เพื่อผ่อนคลายจากสถานการณ์ความตึงเครียดบ้าง จึงได้ทำหนังสือขอให้พิจารณาโยกย้ายผมไปเป็นผู้กำกับการ สภ.กันตัง ซึ่งตอนแรกโผโยกย้ายที่ออกมาในบช.ภ.9 (กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9) ก็มีชื่อผมเป็นผู้กำกับการ สภ.กันตัง แต่เมื่อคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายออกมา กลับให้อยู่ตำแหน่งเดิม ทั้งที่ทำงานในภาคใต้มายาวนาน มีผลงานมาโดยตลอด ผมคิดว่าผลงานที่ทำมาตลอดกว่า 40 ปี เมื่อถึงเวลาพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายจะได้รับพิจารณาบ้าง แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นคำสั่งที่ไม่มีความชอบธรรม "

ชีวิตส่วนตัว
พล.ต.อ.สมเพียร เมื่อกำเนิดมีชื่อว่า เนี้ยบ แซ่เจ่ง ชื่อจริงว่า สมเพียร ถูกตั้งโดยครู เมื่อครั้งเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวังใหม่ ส่วนนามสกุล "เอกสมญา" ได้เปลี่ยนเมื่อเข้าเรียนโรงเรียนตำรวจ โดยอาศัยใช้นามสกุลของนายตำรวจผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง

พล.ต.อ.สมเพียร สมรสกับ นางสาวพิมพ์ชนา ภูวพงษ์พิทักษ์ บุตรสาวของนายตำรวจโรงพักปันนังสตา เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2514 มีบุตรชาย 4 คนได้แก่ นายชุมพล เอกสมญา, นายเสรฐวุฒิ เอกสมญา, นายอรรถพร เอกสมญา และ ส.ต.ท.โรจนินทร์ ภูวพงศ์พิทักษ์

จากทำงานในพื้นที่มาอย่างโชคโชนและยาวนาน ทำให้ทางครอบครัวเกิดความวิตกพร้อมทั้งขอให้เปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น "ภูวพงษ์พิทักษ์" เพื่อเป็นสิริมงคล แต่ พล.ต.อ.สมเพียร ได้ขอกลับมาใช้นามสกุลเดิม ส่วนนามสกุลใหม่มีภรรยาและบุตรชายคนที่ 2 - 3 ใช้

ประวัติและการรับราชการ
พล.ต.อ.สมเพียร เป็นบุตรคนที่ 4 ใน 10 คน ของนางไกร ชาวบ้านวังใหญ่ จังหวัดสงขลา กับนายโกว แซ่เจ่ง ชาวจีนอพยพมาจากไหหลำ เมื่อแรกเกิดมีชื่อว่า "เนี้ยบ" เกิดที่ตำบลวังใหญ่ อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมเทพา โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา เมื่อ พ.ศ. 2513 (นพต. รุ่น 15)

เริ่มต้นชีวิตรับราชการตำรวจที่ สภอ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งในขณะนั้น พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตเคลื่อนไหวของขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน ทำให้ภาครัฐต้องระดมสรรพกำลัง ทั้งทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง เข้าไปแย่งชิงมวลชน และดูแลความสงบเรียบร้อย หลายครั้งที่เกิดการปะทะ ทำให้มีการสูญเสียอย่างหนักทั้งสองฝ่าย เคยต่อกรกับกลุ่มที่ยืนตรงข้ามกับรัฐแทบทุกกลุ่ม ทั้งโจรจีนคอมมิวนิสต์ ขบวนการโจรก่อการร้าย และกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เคยผ่านการยิงปะทะมาแล้วนับร้อยครั้ง สามารถสังหารฝ่ายตรงข้าม ยึดอาวุธปืน และที่พักเป็นจำนวนมาก ซึ่งผลในการนำกำลังเข้าปะทะกับโจรก่อการร้ายดังกล่าว ทำให้ได้รับบาดเจ็บทั้งเล็กน้อยและสาหัสถึง 8 ครั้ง

เมื่อปี พ.ศ. 2519 พล.ต.อ.สมเพียร ในขณะที่ยังมียศ จ.ส.ต. เปิดฉากยิงปะทะกับขบวนการโจรก่อการร้าย กลุ่มนายลาเตะ เจาะปันตัง ที่จับตัวตำรวจและครอบครัวไปเรียกค่าไถ่ที่เทือกเขาเจาะปันตัง อำเภอบันนังสตา ผลจากการปะทะเขาถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาซ้ายและหน้าอก ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกส่งรักษาตัว รพ.ศูนย์ยะลา และจากการปะทะในครั้งนี้ทำให้ขาข้างซ้ายแทบพิการ

ปี พ.ศ. 2526 ยิงปะทะกับขบวนการโจรก่อการร้าย กลุ่มนายคอเดร์ แกแตะ กับพวกประมาณ 30 คนที่ อำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา ถูกยิงที่ต้นขาขวากระสุนฝังใน

ปี พ.ศ. 2550 พล.ต.อ.สมเพียร กลับสู่บันนังสตา มารับตำแหน่ง ผกก.สภ.บันนังสตา ติดยศ พ.ต.อ. ในขณะที่แผ่นดินกำลังลุกเป็นไฟ กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ สามารถจัดตั้งแนวร่วมฯ และกองกำลังรบขนาดเล็ก (RKK) เพื่อใช้ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ ให้ได้รับความสูญเสียเป็นจำนวนมาก ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ถูกลอบยิง วางระเบิด ฆ่าตัดคอ ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง นับเป็นงานที่หนักและท้าทายอย่างมาก แม้รูปแบบการก่อความไม่สงบของกลุ่มคนร้ายได้ปรับเปลี่ยนไปจากเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วมาก แต่อาศัยเป็นผู้ชำนาญในพื้นที่มาก่อน และมีแหล่งข่าวเก่าที่เคยทำงานร่วมกันในอดีต จึงไม่เกินความสามารถที่จะที่จะสืบเสาะหาแหล่งกบดาน และติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบ และหลังจากเข้ามารับตำแหน่ง ผกก.สภ.บันนังสตาได้ไม่นาน วันที่ 1 สิงหาคม 2550 ได้ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดเข้าปิดล้อมตรวจค้น และยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้ายที่บ้านเตี๊ยะ หมู่ 5 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา กลุ่มนายสุริมิง เปาะสา ที่ก่อเหตุร้ายในพื้นที่หลายครั้ง ผลการปะทะ ทำให้กลุ่มคนร้ายเสียชีวิต 6 ราย สามารถยึดอาวุธปืนสงครามและยุทธภัณฑ์ได้เป็นจำนวนมาก

วันที่ 18 สิงหาคม 2550 สนธิกำลังเข้าติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมายในพื้นที่หมู่บ้านตะโล๊ะซูแม อ.กรงปินัง จ.ยะลา ได้ยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย 5 นาที คนร้ายเสียชีวิต 1 คน ยึดอาวุธปืนพกขนาด 11 มม. 1 กระบอก
วันที่ 30 ตุลาคม 2550 นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าทำการติดตามจับกุมกลุ่มคนร้าย ที่หมู่ 2 บ้านกือลอง ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา เกิดการปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย ประมาณ 20 นาที ฝ่ายคนร้ายเสียชีวิตใน ที่เกิดเหตุจำนวน 2 ราย ยึดอาวุธปืนพกได้ 1 กระบอก พร้อมยุทธภัณฑ์จำนวนหนึ่ง


วันที่ 29 มกราคม 2551 สนธิกำลังร่วมกับฝ่ายทหาร และฝ่ายปกครอง จัดกำลังเข้าไปติดตามจับกุมคนร้ายในพื้นที่ หมู่บ้านบูกาซาแก่ หมู่ 1 ต.บาเจาะ อ.บาเจาะ จ.ยะลา เกิดการยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย เป็นเหตุให้ จ.ส.ต.ศรศักดิ์ รักนาย ผบ.หมู่ (ป.) สภ.บันนังสตา ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต และฝ่ายคนร้ายถูกยิงเสียชีวิตจำนวน 1 ราย ทราบชื่อ นายสุไลมาน อภิบาลแบ เป็นผู้ต้องหาสำคัญตามหมายจับของศาล จังหวัดยะลาหลายคดี
วันที่ 19 เมษายน 2551 โดยในวันที่ 18 เมษายน 2551 ได้รับรายงานจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ กลุ่มของนาย หะยีสการียา หะยีสาเมาะ แกนนำสำคัญของกลุ่มก่อความไม่สงบ กับพวกประมาณ 13 คน ได้ปรากฏตัว และหลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ บ้านตือระ หมู่ที่ 8 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา จึงได้สนธิกำลัง 3 ฝ่าย เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งการเข้าไปปฏิบัติการกระทำได้ยากลำบาก เนื่องจากมีแนวร่วมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอยู่เต็มพื้นที่ และรอบ ๆ จึงได้ปรับเปลี่ยนยุทธวิธี โดยขนย้ายกำลังข้ามแม่น้ำปัตตานี ซึ่งอยู่ตรงข้ามเป้าหมาย เพื่อตัดโอกาสแจ้งข่าว จึงได้ลำเลียงกำลังพลข้ามแม่น้ำปัตตานี โดยใช้แพยางลอยคอเกาะกลุ่มกันไปท่ามกลางกระแสน้ำ ที่เชี่ยวกราก และเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง จาก การยิงปะทะต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ในสถานการณ์ที่ไม่ได้เปรียบกับฝ่ายตรงข้าม สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามจำนวน 1 ราย ทราบ ชื่อ นายเพาซี อาลีเมาะ แนวร่วมคนสำคัญที่ก่อเหตุมาหลายครั้ง

วันที่ 23 พฤษภาคม 2551 ได้สนธิกำลังเข้าไปติดตามจับกุมคนร้ายในพื้นที่บ้านบาเจาะ หมู่ 2 ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา และเกิดการยิงปะทะต่อสู้กัน เป็นเหตุให้คนร้ายเสียชีวิตจำนวน 1 ราย ทราบชื่อ นายมะ แวดอนิ อายุ 24 ปี สามารถยึดอาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 มม. ได้จำนวน 1 กระบอก ตำรวจบาดเจ็บ 8 นาย
วันที่ 23 มิถุนายน 2551 รับรายงานจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ที่ได้ก่อเหตุซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ชุดพลร่ม ซึ่งเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตจำนวน 1 นาย และบาดเจ็บจำนวน 5 นาย ได้หลบซ่อนตัวอยู่หลังหมู่บ้านบางกลาง หมู่ที่ 3 ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา จึงได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อส. เข้าติดตามจับกุมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ โดยจัดกำลังชุดปฏิบัติการ 4 ชุด ต่อมาเมื่อเวลา 16.05 น. ชุดปฏิบัติการที่ 3 ได้ยิงปะทะสู้กับกลุ่มของคนร้าย เป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิต 1 ราย ต่อมาชุดปฏิบัติการที่ 2 ยิงปะทะต่อสู้กับกลุ่มคนร้าย เป็นเหตุให้ฝ่ายคนร้ายเสียชีวิตอีก 1 ราย ก่อนขอกำลังสนับสนุนสังหารกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเพิ่มขึ้นอีก 4 ราย ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 4 ราย


เสียชีวิต
วันที่ 12 มีนาคม 2553 ในขณะที่ พล.ต.อ.สมเพียร นั่งรถยนต์กระบะยี่ห้อโต้โยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา พร้อมลูกน้อง 3 นาย และ อส.คนสนิท อีก 1 นาย คือ ร.ต.ท.กิตติศักดิ์ โลมา รอง สว.ปป.สภ.บันนังสตา, ด.ต.โสภณ อินทรบวร และ ส.ต.ท.ระวิกรณ์ สังข์ศิริ และ อส.อับดุลอาซิ กาจะลากี ออกไปติดตามหาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ หลังทราบข่าวว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ได้ออกมาเคลื่อนไหวในพื้นที่ เพื่อเตรียมก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่

เมื่อขับรถยนต์มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ มีคนร้ายไม่ทราบกลุ่ม จำนวน 5-8 คน กดระเบิดที่ฝังไว้ และใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่ จำนวนหลายชุด เกิดการปะทะกันประมาณ 10 นาที เมื่อกำลังเสริมเข้าไปกลุ่มคนร้ายได้ล่าถอยเข้าไปในป่า ทั้งหมดถูกลำเลียงทั้งทางรถยนต์ และทางเฮลิคอปเตอร์เป็นการด่วน แรงระเบิดและคมกระสุนส่งผลให้ พล.ต.อ.สมเพียร ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตที่ รพ.ศูนย์ยะลา สิริอายุ 59 ปี ส่วนลูกน้องคนสนิท 4 นาย บาดเจ็บสาหัส ส่วน ด.ต.โสภณ อินทรบวร เสียชีวิตในเวลาต่อมา

การพระราชทานยศเป็นกรณีพิเศษ
หลังจาก พล.ต.อ.สมเพียร เสียชีวิต ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาตอบแทนให้เลื่อนขั้น 7 ขั้นยศเป็น พลตำรวจเอก ในวันที่ 13 มีนาคม มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และมอบเงินสวัสดิการตำรวจที่จะช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจำนวนเงิน 3 ล้านบาท พร้อมดูแลการศึกษาของทายาทจนจบระดับปริญญาตรี หรือการรับเข้าทำงานราชการตำรวจต่อไป ซึ่งจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่

เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พล.ต.อ.สมเพียรได้รับการโปรดเกล้าฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญมาลาเข็มกล้ากลางสมรพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง และกระทำพิธี ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2525 และนับเป็น ตำรวจเพียงคนเดียวในขณะมียศ "จ่าสิบตำรวจ" ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนั้น นอกจากนี้ พล.ต.อ.สมเพียร ยังได้รับพระราชทาน และประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานต่างๆ อีกมากมาย เช่น
- ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนชั้นสอง ประเภทหนึ่ง
- ได้รับประกาศนียบัตร ”ผู้มีผลงานสู้รบดีเด่น” จาก
กระทรวงมหาดไทย
- ได้รับเข็มรักษาดินแดนสดุดี จากกระทรวงมหาดไทย
- ได้รับมอบเกียรติบัตรผู้ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติด้วยความเสียสละ จากองค์การทหารผ่านศึก


- ไดัรับประกาศผู้มีผลงานดีเด่นด้านการปราบปราม จากกองบัญชาการตำรวจภูธร 9
- ได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์เก่า โรงเรียนตำรวจภูธร 9 ดีเด่น
- ได้รับหนังสือสำคัญ จากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต ) ยกย่องเชิดชู เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติ บูรณภาพแห่งดินแดน และรักษาความสงบสุขของบ้านเมือง ด้วยความเข้มแข็งเสียสละ ฯลฯ


O ดอกลมแล้งช่อยาวพราวระย้า วันเวลาจะกินกลืนไม่คืนหวน
จะลืมเรื่องวีรกรรมลืมคร่ำครวญ จะชี้ชวนลืมง่ายง่ายเหมือนสายลม

O สุคติ ณ จุดหมายภพปลายฟ้า เอกสมญาวีรกรรมนำสุขสม
สมชื่อเพียรสู่สวรรค์ในชั้นพรหม อย่าปรารมณ์โลกีย์โลกสิ้นโศกเทอญ.