วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ดอกสร้อยภาพเก่าเล่าอดีต 3 - รุ่นปู่ย่าตายาย

การประหารชีวิตสมัยโบราณ
ดอกสร้อยกฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์
O กฎเอ๋ยกฎหมาย ตัดสินตายเดิมทีมีประหาร
พื้นพิธีที่กว้างอยู่กลางลาน มีพยานมุงดูอยู่กรูเกรียว
มีตอปักตอกตรึงขึงนักโทษ คอคนโฉดรอดาบวาดดูหวาดเสียว
ราชมัลฟันฉับเพียงขวับเดียว กฎหมายเหนี่ยวให้คนหวั่นด้วยบั่นคอ.
ศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ

กระบวนพยุหยาตรา

สถานีรถไฟหัวลำโพง

สะพานพระพุทธยอดฟ้า

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

วัดพระแก้ว


ดอกสร้อยรักเมืองไทย
O เมืองเอ๋ยเมืองไทย เคยยิ่งใหญ่ร่มเย็นแย้มสรวลสันต์
เรียกสยามเมืองยิ้มถึงทุกวัน ด้วยทรงธรรม์คุ้มไทยทุกภัยพาล
ไทยยึดธรรมใช้ธรรมนำชีวิต ทุกดวงจิตรู้รักสมัครสมาน
สร้างบ้านเมืองด้วยสองมือคือแรงงาน และสืบสานวัฒนธรรมล้ำค่าเอย.
ศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ

ดอกสร้อยภาพเก่าเล่าอดีต 2 - รุ่นปู่ย่าตายาย


ดอกสร้อยน้ำท่วมกรุงเทพฯ
O น้ำเอ๋ยน้ำท่วม ไหลหลากรวมท่วมกรุงยุ่งเหยิงใหญ่
สองสี่แปดห้าท่วมเห็นท้อใจ กาลผ่านไปย้อนคิดจิตหวั่นเกรง
กรุงเทพฯจมบาดาลด้วยม่านน้ำ เคยชอกช้ำสายธารามาข่มเหง
เทพองค์ไหนช่วยประทังก็วังเวง คนกรุงเองคอยซ้ำธรรมชาติเอย.
ศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ

ดอกสร้อยเงินตรา
O เงินเอ๋ยเงินตรา คือราชาแห่งผองชนคนส่วนใหญ่
จะรุ่นเก่ารุ่นกลางรุ่นใดใด ชำระได้เต็มราคาค่าคงเดิม
คนบางคนเกิดมาค่ายิ่งน้อย ไร้ร่องรอยสร้างบุญคอยหนุนเสริม
ทำงานเพื่อเงินตราเก็บมาเติม เงินมีเพิ่มค่าคนน้อยด้อยกว่าเอย.
ศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ดอกสร้อยภาพเก่าเล่าอดีต 1 - รุ่นปู่ย่าตายาย


ภาพกรุเก่าเล่าอดีต

ดอกสร้อยรถราง
O รถเอ๋ยรถราง
สวยสะอางรูปทรงน่าหลงไหล
แล่นรับส่งผู้โดยสารย่านใกล้ไกล
เคยภูมิใจรักรถรางแม้รางเลือน
O อยากย้อนยุคนำรถรางมาสร้างใหม่
อยู่เมืองใหญ่เอกลักษณ์ใครจักเหมือน
ของเก่าดีอย่าทิ้งเก่าเราขอเตือน
ถ้าลืมเลือนดีเก่าเก่าก็เศร้าเอย.
ศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ











ภาพกรุเก่าเล่าอดีต

ดอกสร้อยโฆษณายุคเก่าเก่า

O ของเอ๋ยของเก่า
ย้อนบอกเล่าความหลังครั้งใหม่ใหม่
เคยมองเห็นเคยมีแม้เคยใช้
อายุขัยเช่นคนเราแก่เฒ่าเอย
ศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ












































วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551

หลักดรุณ - เด็กยุคโลกาภิวัตน์ 2008

ข้าเคยฝันและยังฝันอยู่ !
จงเรียนรู้และยึดเป็นแนวทางดำเนินชีวิตของเธอ
เพื่อสร้างฝัน ...... และบินให้ สูงขึ้น .... สูงขึ้น

ความหวังก่อนตาย - เรื่องสั้นสะเทือนอารมณ์


ความหวังก่อนตาย โดย สรจักร ศิริบริรักษ์
ตาเคยเห็นรอยเลือดจางเป็นจุดที่ด้านในของยกทรงครั้งแรก เมื่อก่อนพ่อแม่จะตายเพียง
สองวัน จำได้ว่าตอนนั้นตกใจเล็กน้อย แม้จะอายุยี่สิบห้า แต่ตาก็ไม่รู้อะไรกับเรื่องทางสรีระมากนัก
คิดเอาเองประสาคนต่างจังหวัดที่มีโอกาสรับข่าวสารน้อยว่า คงเป็นอาการนมคัดอย่างที่เคยได้ยิน
ตาตั้งใจจะรอถามแม่ซึ่งอยู่ระหว่างเร่ขายทุเรียนกวนตามงานวัดทั้งฉะเชิงเทรา ชลบุรี
ระยอง โดยมีพ่อเป็นคนขับ ทั้งสองไปทีละหลายวันถึงสัปดาห์
ครอบครัวของตาประกอบด้วยพ่อ ซึ่งเป็นอดีตจ่าทหารเรือสัตหีบ แม่เป็นลูกจ้างติดรถเร่ขายของตามงานวัด ทั้งสองแต่งงานกันง่ายๆแบบคนจนที่ดี พ่อลาออกเอาเงินบำเหน็จซื้อที่ขนาดพองามลงเงาะ ทุเรียน มังคุดได้อย่างละแปลง กลายเป็นไร่นาสวนผสมที่พอเลี้ยงชีพได้โดยอัตคัด
ตาเป็นพี่สาวคนโต มีหน้าที่หุงหาอาหาร ดูแลงานบ้าน สามหน่อถัดจากตาเป็นผู้ชายสองและคนสุดท้ายเป็นผู้หญิง ภาระในการเลี้ยงส่งลูกทั้งสี่หนักหนาสากรรจ์ ตาถูกให้ออกโรงเรียนหลังจบชั้นป.๗ เพราะไม่เห็นประโยชน์ว่าทำไมผู้หญิงต้องเรียนสูง
ความที่เคยอยู่รถเร่สมัยยังสาว แม่เห็นลู่ทางหารายได้โดยรับซื้อทุเรียนร่วงตามสวน
ทดลองกวนขาย ความที่เป็นทุเรียนแท้ไม่เติมแป้งทำให้ติดตลาดและทำรายได้เพิ่มน่าพอใจ พ่อจึง
เอามอเตอร์ไซค์คู่กายมาต่อเป็นรถพ่วงขนวัตถุดิบและพาแม่ไปขายทุเรียนกวนตามตลาดนัด ส่วนจักรยานคันเก่าน้องเก๋คนสุดท้องใช้เป็นพาหนะไปโรงเรียนที่ตั้งอยู่ห่างไปสิบกิโล
ด้วยความคิดแบบทหาร พ่อให้ความสำคัญกับลูกชายและส่งเสียเล่าเรียนเต็มที่ในฐานะผู้สืบสกุล พ่อมักพูดปลูกฝังลูกชายทั้งสองให้สอบเป็นนายร้อยชดเชยความรู้สึกต่ำต้อยของพ่อ
ความจนมักมากับความทุกข์ เมื่อน้องชายทั้งสองเรียนระดับอาชีวะ เช้าวันหนึ่งรถสองแถวที่บรรทุกนักเรียนเข้าเมืองเกิดเทกระจาด สองหนุ่มน้อยซึ่งแต่งตัวไปเรียนแต่เช้าถูกรถบรรทุกทับจนตายคาซากรถ ทั้งบ้านร่ำไห้เหมือนจะขาดใจ
หลังจากพ่อแม่ทำใจกับการสูญเสียลูกชายได้ ตาจึงมีโอกาสหาความรู้ใส่ตนอีกครั้ง แต่ด้วยเรื้อโรงเรียนมานาน เธอจึงเลือกเรียนเย็บผ้า ด้วยหวังทำรายได้เสริมยามว่างจากสวน ส่วนน้องเก๋คนเล็กสุดและห่างจากเธอสิบปีได้รับการฟูมฟักเช่นไข่ในหิน ให้เป็นหน้าตาของพ่อแม่ ตายังจำคำของพ่อได้ว่า
“ ดูแลน้องให้ดีนะลูก เคี่ยวเข็ญมันเข้า พ่อแม่ไม่มีปริญญาก็อยากเห็นลูกได้ปริญญาสักคน ”
ความตายของลูกชายเปลี่ยนนิสัยพ่อ จากที่ไม่เคยฟังใคร กลายเป็นพ่อที่อบอุ่น
สำหรับลูกสาวทั้งสอง พ่อมักพูดถึงความฝันของตัวเองให้ลูกฟังทุกวัน จนมันกลายเป็นภาระที่คน
ในครอบครัวจะต้องช่วยกันส่งเสริมสมาชิกคนเล็กสุด ให้ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจาก
มหาวิทยาลัยมีชื่อให้จงได้
ทุกข์ซ้ำกรรมซัด เสมือนเป็นคำสั่งเสีย หลังจากพ่อแม่เดินทางไปขายของงานวัด
ที่ศรีราชาเพียงสี่วัน ผู้มีพระคุณทั้งสองก็สังเวยชีวิตบนทางหลวงขณะขับรถพ่วงข้างฝ่าลมหนาว
กลับบ้าน ร่างของพ่อกระเด็นไปติดไม้ใหญ่ ทุเรียนกวนกระจายเกลื่อนถนนปนกับเลือดสีแดงจากร่างแม่
ซึ่งขาดเป็นสองท่อน
ตาล้มพับทันทีที่เพื่อนบ้านวิ่งมาแจ้งข่าว ดวงตะวันดับแล้วพร้อมจันทรา
ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวที่ยังเหลืออีกหนึ่งชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะความปรารถนาของพ่อ
ตาก็ไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปทำไม
หลังพิธีศพผ่านพ้น หญิงสาวบอกตนเองว่า เธอมีภาระอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่งคือ
ส่งน้องเรียนปริญญาให้ได้ เมื่อเสร็จภารกิจ เธอจะปลงผมบวชตลอดชีวิต
แผนการชีวิตถูกวางตามกำลังสมองที่มี เธอตัดสินใจพาน้องเข้าเมืองหลวงด้วยความ
เชื่อว่าการอยู่เมืองหลวงจะทำให้น้องสาวฉลาด หูตากว้างไกล หญิงสาวพบสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร
ของพ่อมีเงินแปดพันกว่าบาท อาจฟังดูเล็กน้อยสำหรับคนกรุง แต่มากโขสำหรับชาวบ้านธรรมดาที่อยู่
ในสังคมเกษตร
หญิงสาวถือสมุดไปขอถอนเงินเพื่อใช้เป็นทุนเข้ากรุงเทพฯ ธนาคารปฏิเสธการจ่าย
เพราะเธอไม่ใช่เจ้าของบัญชี เธอคู้ตัวไหว้แล้วไหว้อีกจากโต๊ะนี้ไปโต๊ะโน้น ทุกคนตอบห้วนๆว่าผิดระเบียบ จนถึงผู้จัดการใหญ่ซึ่งอธิบายว่า มรณบัตรของพ่อแม่ไม่ช่วยให้ธนาคารฝ่าฝืนระเบียบได้
มีทางเดียวคือเธอต้องร้องต่อศาล ขอเป็นผู้จัดการมรดกของบิดามารดา
คนจนไม่มีอำนาจต่อกร เธอหมดปัญญาเอาความกับธนาคาร จำต้องทิ้งเงินไป
หญิงสาวตัดใจขายที่สวนในราคาไร่ละห้าพันบาท ได้เงินแปดหมื่น พาน้องสาวเข้า
เรียนต่อที่กรุงเทพฯ
เป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องได้สัมผัสกรุงเทพฯด้วยตนเอง อากาศเหม็นแสบจมูก เต็ม
ด้วยฝุ่น ผู้คนมากมายล้วนหน้าดำคร่ำเครียด เดินขวักไขว่เหมือนมดปลวก
เพื่อนสมัยเรียนด้วยกันที่ระยองมารับเธอตามที่มีจดหมายบอก สองพี่น้องเช่าห้องเล็กๆชานกรุงเทพฯใกล้บ้านเช่าของเพื่อนเป็นที่ซุกหัวนอน
หญิงสาวแบ่งเงินซื้อจักรมือสองรับงานเย็บผ้าจากโรงงาน รายได้ไม่มากแต่พอดำรง
ชีวิตให้ผ่านคืนวันไปได้ และด้วยปณิธานอันมุ่งมั่นเธอก็พาน้องไปสอบเรียนต่อม.๔
อันที่จริงการเรียนของเก๋ก็อยู่ในระดับดีมากตามมาตรฐานต่างจังหวัด แต่ที่นี่ เด็กสาว
ติดอันดับสำรองเกือบสุดท้าย ตาเป็นคนพาน้องสาวไปกราบตักครูใหญ่เพื่อขอความกรุณา น้ำตา
แห่งความทุกข์ยากราดรดโคนต้นไม้แห่งความปรานีในหัวใจครูใหญ่จนผลิดอกออกผล
ในท้องฟ้าอับโชค บางครั้งเมฆขาวก็ลอยผ่านมาพอได้เห็น


อาการเลือดออกจากหัวนมของตายังเกิดเป็นระยะ แต่ไม่มีอะไรร้ายแรง นอกจาก
เจ็บตึงเป็นบางครั้งและมีตกขาวร่วมด้วย เธอปรารภกับเพื่อนแบบอายๆสงสัยว่าจะเกิดจากการถีบจักร
วันละสิบสี่ชั่วโมง
วันรุ่งขึ้นเพื่อนรักเอายาแคปซูลมาให้สามชุด กินแล้วไม่ดีขึ้น หลังจากนั้นเพื่อนมัก
แวะเวียนเอายารูปร่างแปลกๆมาฝากเสมอ
ส่วนเก๋นั้นเป็นเด็กดี แต่งตัวไปเรียนแต่ก่อนสว่าง กลับบ้านช่วยพี่สาวเย็บผ้า ซัก
เสื้อผ้า ทำกับข้าว ดูแลความสะอาดห้องขนาดสี่คูณสี่เมตร ว่างจากนั้นก็ท่องตำราทำการบ้าน ตลอด
สามปีที่ย้ายมากรุงเทพฯสองพี่น้องไม่เคยพักผ่อน ดูหนัง ดูละคร อาหารหลักที่ทำไว้กินครั้งละ
หลายๆวันก็คือแกงส้มหรือไม่ก็ต้มจับฉ่าย
เก๋ทำหน้ายุ่งยากทุกครั้งที่พี่สาวถามเรื่องผลการเรียน เธอไม่อยากทำให้พี่สาวผิดหวัง
ในตัวเธอ ความฝันสูงสุดคือได้เห็นน้องสาวขึ้นรับพระราชทานปริญญาบัตร พ่อแม่คงมองเห็นจาก
สวรรค์เบื้องบน
ตาอ่านใบแจ้งผลการเรียนไม่เข้าใจ เพราะสมัยที่เธอเรียนใช้ระบบเปอร์เซนต์ เธอนำ
ไปปรึกษาเพื่อน
“ วิชาอื่นก็ดีหรอกนะ เว้นแต่ภาษาอังกฤษ น้องเธอตกภาษารู้ไหม ? เด็กต่างจังหวัด
ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ ลูกคนกรุงเทพฯดูเคเบิ้ลทีวี ดูหนังฝรั่ง ฟังเพลงฝรั่ง พวกเราสู้เขาไม่ได้หรอก ”
เพื่อนสาวแนะนำอย่างคนเห็นโลกมามาก
“ ถ้าเรียนพิเศษเพิ่มจะดีไหมนะ ? ” ตาขมวดคิ้ว ใบหน้าผอมเต็มไปด้วยริ้วรอย
กังวล ดูเผินๆเหมือนอายุสี่สิบ
โอ๊ย ! ดีอยู่แล้ว แต่เงินล่ะ จะเอาเงินมาจากไหน ? เดือนละสามสี่พันเชียวนะเธอ
อย่านึกว่าขี้ไก่ เก็บเงินไว้ซื้อเนื้อซื้อปลากินเองเถอะ ผอมจะเป็นผีดิบอยู่แล้ว ”
สามปีในกรุงเทพฯ สุขภาพของหญิงสาวทรุดโทรมลงอย่างมาก อาจเป็นเพราะ
อากาศสกปรกหรือความอับทึบของห้องเช่า หรือมุงานเกินไป ระยะหลังนอกจากจะมีก้อนแข็งใน
เต้านมแล้ว เธอยังมีระดูขาวออกกะปริบกะปรอยถี่ขึ้น กลิ่นเหม็นคาวสกปรก
ตาเจียดเงินฝากเพื่อนซื้อยาต้ม “ มุตกิดระดูขาว ” เธอบอกเพื่อนเช่นนั้น เพื่อนแนะนำ
ให้ไปหาหมอ เธอปฏิเสธเพราะค่ายาคงหลายร้อย
“ พี่เป็นอะไร ? ” เก๋ถามเมื่อได้กลิ่นสมุนไพรจากหม้อต้มยาน้ำดำ
“ ตกขาว ” เธอไม่เคยบอกน้องเรื่องความผิดปกติมากกว่านั้น
“ ไปหาหมอดีกว่านะ หลังๆนี้พี่ดูซูบจังเลย ”
“ ไม่หรอก....เสียดายเงิน อยากเก็บไว้ให้เก๋เรียนพิเศษมากกว่า อีกสองเดือนก็สอบ
ไล่แล้วนี่ ”

เก๋ปฏิเสธไม่ยอมเรียนพิเศษ ไม่ว่าจะบังคับอย่างไร เว้นแต่ว่าพี่สาวจะยอมไปหาหมอ
ที่โรงพยาบาล
การไปหาหมอเป็นเรื่องใหญ่ ค่ารักษา รายได้ที่ต้องเสียจากการหยุดงานทั้งวัน และ
ความรู้สึกอับอายที่ต้องเปลื้องผ้าให้หมอตรวจตรงนั้น ตาแทบทำใจไม่ได้ ขณะนั่งรอแพทย์ตั้งแต่
แปดโมงเช้าจนสิบโมง ผู้คนขวักไขว่นั่งนอนยืนเดินบนทางเดินแคบๆ บางคนผอมเหมือนตายซาก
มีน้ำหนองเฟะที่แผล กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเหม็นแทบเป็นลม เธออยากลุกวิ่งหนีออกมาจากสถานที่แห่งความหดหู่ หญิงสาวมิได้อาทรสุขภาพของตนเอง เธอยอมมาโรงพยาบาลเพื่อน้อง
พยาบาลเรียกเธอเข้าไปในห้อง หมอหนุ่มถามเธอด้วยคำถามน่าอับอาย มีสามีหรือยัง ?
มีเพศสัมพันธ์กับใครบ้าง ? ไม่มีเลยหรือ ? จริงหรือ ? อย่าโกหกหมอนะ และยังสั่งให้เธอถอดเสื้อผ้า
ตรวจภายใน เธอน้ำตาไหลพรากเมื่อหมอใช้มือคลำหน้าอก รู้สึกว่าเอาความเป็นหญิงที่สงวนมาตลอด
ชีวิตถูกช่วงชิงไปเสียแล้วโดยชายแปลกหน้าที่อ้างตัวว่าเป็นหมอ พยาบาลเรียกเธอขึ้นนอนบนเตียง
มีขาหยั่ง เจ็บแปล๊บเมื่อถูกตัดชิ้นเนื้อขนาดเม็ดถั่วไปตรวจ
เธอไม่เข้าใจ และไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดอธิบายให้เธอเข้าใจ
ในสัปดาห์ต่อมา เมื่อโหนรถเมล์ไปฟังผลการตรวจตามที่หมอนัด เธอก็พบกับหมอ
ที่เคยตรวจและหมอผู้หญิงแก่ๆอีกคน ทั้งสองมีสีหน้าไม่สู้ดี สบตากันก่อนจะบอกเธอว่า เธอเป็นมะเร็ง
ลุกลามทั่วตัวแล้ว การใช้ยาบำบัดอาจช่วยต่อชีวิตไปได้ ๕๐% ทั้งสองพูดอะไรอีกบางอย่าง เช่นว่า
หากมารักษาแต่เนิ่นๆก็หายขาดได้ แต่ตาไม่ได้ยิน ในสมองอื้ออึงเหมือนมีพายุพัด
ตาไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีน้ำตาของความเจ็บปวด
เธอเจ็บปวดมามากพอแล้ว ในสมองก้องด้วยคำว่า “ มะเร็งระยะลุกลาม ” หมอบอกค่ายาเข็มละ
ห้าร้อยบาท ต้องฉีดทุกสัปดาห์เพียงเพื่อยืดเวลาชีวิตไปอีกระยะ
เมื่อลงรถเมล์ หญิงสาวก้าวข้ามถนนไปยังโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่หรูหรา
พนักงานชุดฟอร์มสีม่วงมองการแต่งกายของเธอด้วยสายตาเหยียด อากาศเย็นยะเยือกจากแอร์ทำให้
ร่างผอมสั่นสะท้าน เธอกำมัดเงินที่เตรียมไว้เป็นค่ายาจนชุ่มด้วยเหงื่อ
มีเพียงสองทางเลือกสำหรับคนจนอย่างเธอ...ตัวเองหรือน้อง ?
“ สมัครติววิชาให้น้องค่ะ ” เธอตัดสินใจเด็ดขาด

การที่เก๋ได้ติวภาษาอังกฤษและอื่นๆ กลับยิ่งทำให้เธอขาดความมั่นใจ ที่โรงเรียนมี
ผู้คนมากมาย เด็กส่วนใหญ่มีรถขับมาเรียน แต่งกายสวยงาม พูดไทยปนอังกฤษ เพื่อนร่วมชั้นพากัน
หัวเราะเมื่อได้ยินเธออ่านออกเสียงภาษาอังกฤษหน้าชั้น
เก๋เครียด ภาระที่พ่อสั่งเสียหนักนัก เธอพยายามตั้งใจเรียน แต่ไม่อาจฝ่าข้ามขีดจำกัด
ของตนเองได้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เก๋เชื่ออย่างฝังใจว่า ถ้าเธอทำคะแนนทดสอบเอนทรานซ์แบบ
จำลองที่สถาบันแห่งนี้จัดทำได้ถึงครึ่ง เธอก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และในทางกลับกันถ้าเธอ
ไม่ผ่านการทดสอบ เธอก็หมดโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยปิดที่ทุกคนคาดหวัง
หากพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ เธออาจร้องขอความเห็นใจ แต่นี่...ประตูปิดตายแล้ว
เหลืออีกเพียงสี่เดือนก็ถึงเวลาสอบเอนทรานซ์ เก๋ทุ่มตัวสอบเต็มที่กับการทดสอบ
เอนทรานซ์แบบจำลองของสถาบันติววิชา ตาสังเกตเห็นความเครียดของน้องสาว ซึ่งเชื่อมั่นอย่าง
ไม่มีทางโน้มน้าวให้เป็นอย่างอื่น
“ ถ้าหนูทำแบบทดสอบของสถาบันไม่ได้ หนูก็จะไม่สอบเอนทรานซ์ เพราะ
อาจารย์บอกว่าไม่เคยมีใครที่ตกการทดสอบที่นี่จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ”
ก่อนทดสอบ ๑ วันเก๋แทบไม่นอน คืนนั้นเด็กสาวนั่งท่องตำราจนตีสอง และตื่นตีสี่
กว่าอ่านหนังสือต่อ เห็นชัดว่าเธอเครียดมาก ดูมันยิ่งใหญ่กว่าการสอบเอนทรานซ์จริงๆเสียอีก
เธอออกจากบ้านไปสอบที่สถาบันหน้าปากซอยตั้งแต่หกโมงเช้า
ค่ำวันนั้นเธอกลับมาด้วยอาการกะปลกกะเปลี้ย ไม่พูดจา ตาเปิดพัดลมไล่อากาศ
อบอ้าว ปล่อยให้น้องนอนนิ่งๆโดยไม่กวนใจ
หลังจากนั้นนับชั่วโมงเธอจึงพูดเบาๆ แล้วสะอื้น “ ไม่มีทางหรอกพี่ หนูทำไม่ได้ ”
ตากอดน้องสาว รู้ดีว่าการทดสอบครั้งนี้สำคัญมากเพียงใด
หลังจากวันนั้น เก๋มักจะนั่งเหม่อลอย รอผลการทดสอบซึ่งจะส่งมาให้ทางไปรษณีย์
สายวันหนึ่ง ขณะที่เก๋ไปโรงเรียน บุรุษไปรษณีย์ก็นำจดหมายจากสถาบันกวดวิชา
มาส่ง ตาออกไปรับ เธอเปิดอ่านผลการทดสอบด้วยมือสั่นเทา ร่างของเธอซวนเซเล็กน้อย
ครูหนึ่ง ตาก็แต่งตัวออกจากบ้าน
ตกเย็นเมื่อเก๋กลับมาถึงบ้าน ตายื่นจดหมายให้ มันคือจดหมายฉบับเมื่อเช้า เก๋เปิด
อ่านด้วยท่าทีลังเลและกลัวเนื้อความในจดหมาย เธอพึมพำน้ำตาไหล “ ไม่น่าเชื่อเลยพี่ หนูคิดว่า
ตัวเองทำได้ไม่ถึงครึ่ง ”
หลังวันนั้นเก๋เกิดความเชื่อมั่นอย่างมาก เธอมุมานะดูหนังสือจนสอบผ่านอย่างสวยงาม ช่วงนั้นเองที่ตาเป็นลมแน่นิ่งคาจักรเย็บผ้า เพื่อนบ้านจับขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไปส่งโรงพยาบาลหมอรับไว้ทันที
แม้จะมีปณิธานอันแรงกล้า ที่จะสนับสนุนน้องสาวให้บรรลุความสำเร็จในชีวิตอย่างที่พ่อปรารถนา แต่ตาไม่อาจฝืนสังขาร มะเร็งแพร่กระจายไปที่มดลูก ปอด ตับ และกะโหลกศีรษะ เธอยังดำรงสัมปชัญญะไว้ได้โดยมีความหวังเท่านั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
เก๋ร้องไห้โฮเมื่อทราบความจริง เธอย้ายมากินนอนที่โรงพยาบาลเฝ้าพี่สาว ด้วย
ความอนุเคราะห์ของสมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย ทำให้สองพี่น้องไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการ
รักษาตัว
“ พี่ตาไม่ตายนะ พี่ต้องอยู่เป็นกำลังใจให้เก๋ ” เด็กสาวกอดพี่ร้องไห้

ตารู้สึกผิดที่ทำให้น้องเสียกำลังใจ เธอสัญญาว่าจะอยู่ต่อไป เธอไม่ปริปากถึงอาการ
เจ็บในช่องท้องที่ลุกลามเหมือนมีหนอนนับพันกัดกินภายใน เธออ้อนวอนขอให้น้องทำให้ดีที่สุดเพื่อเป็นของขวัญให้กับพ่อแม่และตัวเอง
เก๋ไม่มีทางดิ้น ถ้าเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ อาจเป็นกำลังใจที่จะช่วยให้พี่ต่อสู้
กับโรคร้ายด้วยพลังความรักที่มี เธอใช้เวลาอันสงบในโรงพยาบาลดูหนังสือเต็มที่ นั่นนำความสุขใจ
มาสู่พี่สาวเป็นอย่างยิ่ง
มะเร็งลุกลามถึงระยะสุดท้าย หมอต้องให้มอร์ฟีนระงับปวด ดูเผินๆจึงคล้ายกับว่า
การตั้งใจสอบของเก๋ทำให้พี่สาวอาการดีขึ้น เธอจึงยิ่งมุมานะเพื่อความอยู่รอดของพี่สาว ดังนั้นทุกครั้ง
ที่ตาลืมตาตื่น จะเห็นน้องสาวก้มหน้าอยู่กับกองหนังสือมากมาย
การสอบเอนทรานซ์ผ่านไป เก๋กลับจากสอบด้วยสีหน้าเชื่อมั่น “ หนูต้องสอบได้
อยู่แล้ว เพราะทำทดสอบผ่านคะแนนดีด้วย ” พี่สาวยิ้มระโหย แต่เห็นชัดว่าสุขใจ
วันสุดท้ายในชีวิตหญิงผู้อาภัพมาถึง ตรงกับวันประกาศผลเอนทรานซ์ เธอตื่นแต่เช้า
กินอาหารได้มากเป็นพิเศษ ม่านตาขยายกว้างและแจ่มใส พูดคุยนานและไม่มีอาการหอบ เก๋ดูแลพี่
จนรับยาเรียบร้อย จึงขอตัวไปดูผลการสอบเอนทรานซ์ด้วยหัวใจเบิกบาน พี่สาวเธอดูดีขึ้นมาก
แต่เมื่อกลับมาถึง หัวใจที่พองโตของเก๋พลันสลาย ตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ขอบตาลึกโหล ริมฝีปากซีดเซียว นัยน์ตาไร้ประกาย เก๋ทิ้งผลไม้ในมือ ร้องไห้โฮ วิ่งไปกอดพี่สาว ประคองศีรษะแนบอก
“ พี่จ๋า พี่อย่าทิ้งเก๋ไปนะ เก๋ทำให้พี่ทุกอย่างแล้ว ”
หญิงสาวเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ มุมปากกระตุกยิ้มเหน็ดเหนื่อย
“ ผลการสอบเป็นอย่างไร ? ”
“ เก๋ติดพยาบาลอย่างที่พ่อแม่และพี่อยากให้เป็น เก๋ทำทุกอย่างแล้วนะ พี่ทิ้งเก๋ไป
ไม่ได้ เก๋สอบได้แล้ว พี่ได้ยินไหม ? เก๋สอบได้...” น้ำตาอุ่นไหลตามร่องแก้ม ตกบนหน้าผาก
หญิงสาวผู้อาภัพ
“ ถ้าพี่ตายเก๋จะอยู่กับใคร...โฮ...พี่จ๋า...เก๋จะเป็นพยาบาลรักษาไข้พี่เอง ได้ยินมั้ย ? ”
เธอตะโกนด้วยเสียงแผ่วหวิว ปิ่มว่าจะขาดใจ
“ น้องพี่ ” ตากระซิบแหบระโหย “ น้องต้องอยู่ต่อไป ทำชื่อเสียงให้พ่อแม่
น้องต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง ” เธอปิดเปลือกตาลง หายใจหอบ “ พี่มีเวลาไม่มากแล้ว จงฟัง
พี่ให้ดี น้องเป็นคนมีความสามารถแต่ขาดความมั่นใจ น้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เพราะเชื่อว่า
ตัวเองผ่านการทดสอบ พี่ดีใจและมีความสุขใจอย่างที่สุด มันเป็นของขวัญล้ำค่าก่อนตาย น้องเอ๋ย
....พี่มีเงินฝากในธนาคาร เหลือจากการขายที่สวนหกหมื่น ขอให้น้องเบิกมาใช้เป็นทุน...”
แม้จะหอบหายใจแรง หน้าตายังอาบแต้มด้วยความสุขอันยิ่งใหญ่

“ น้องจ๋า พี่ต้องขอโทษ พี่ได้ทำสิ่งไม่สมควร พี่แอบอ่านและปลอมแปลงจดหมาย
ผลการทดสอบของน้อง พี่รู้ว่ามันสำคัญ แต่ถ้าพี่ไม่ทำ เราคงไม่มีวันนี้ พี่ดีใจและ...ขอบ...คุณ..”
ตาสิ้นใจตายอย่างสงบ
หลังจากหาวัดตั้งศพพี่สาวได้ เก๋จึงไปที่ธนาคารเพื่อเบิกเงินจัดการงานศพ แต่เธอ
ไม่สามารถเบิกเงินได้เพราะไม่ใช่เจ้าของบัญชี เว้นแต่จะมีคำสั่งศาล ซึ่งเธอก็หมดปัญญาจ้างทนาย
เด็กสาวจำต้องขายจักรเย็บผ้า สมบัติชิ้นเดียวของพี่สาว เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในพิธีศพ
หลังพิธีผ่านพ้น เก๋ตัดสินใจโกนหัวบวชชีให้พ่อแม่และพี่สาวเพื่อทดแทนคุณ และ
เป็นการขอขมาลาโทษที่โกหกพี่สาวก่อนตายว่าตนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
จนทุกวันนี้เด็กสาวยังบวชเป็นชี เธอมักถามตัวเองว่า การที่พี่สาวผู้อาภัพ ผู้ซึ่งไม่เคย
ได้รับความสุขใดๆในชีวิต แม้ก่อนตายยังถูกน้องสาวโกหก เพียงเพื่อให้ได้รับความสุขลวงๆ
ถูกหรือผิด ?

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

แบ่งปันสิ่งดีๆ จากพี่สู่น้อง ม.6/12 จ้ะ!















โครงการนี้พี่ให้น้อง
( โครงการแบ่งปันสิ่งดีดี จากพี่สู่น้อง 17 มิถุนายน 2551 ณ โรงเรียนวัดใดยาว ชั้น ม.6/12 )

O โครงการสานฝัน ผองพี่แบ่งปัน ค่าคือน้ำใจ
ความเสียสละ พันธะยิ่งใหญ่ อายุเยาว์วัย นิสัยสร้างธรรม
O ช่วยเหลือเพื่อน้อง โรงเรียนชั้นสอง ขาดทุนอุปถัมภ์
พิบูลฯม.ปลาย จุดหมายจึงทำ โครงการมุ่งนำ กิจกรรมพัฒนา
O หกทับสิบสอง พวกเราทั้งผอง สี่สิบห้าชีวา
ร่วมมือร่วมจิต อุทิศศรัทธา ประชุมปรึกษา ปัญหาโครงการ
O มติตกลง พร้อมกันฟันธง พื้นที่ทำงาน
ร.ร.วัดไดยาว แบกกราวด์พ้องพาน สอดคล้องประสาน เลือกผ่านพร้อมเพรียง
O สิบเจ็ดมิ.ย. ทุกห้องเฝ้ารอ สอดรับขับเสียง
รถบัสรถเมล์ ฮาเฮสำเนียง เคลื่อนล้อรายเรียง เทียบเคียงคาราวาน
O สมุดดินสอ ฟุตบอลตะกร้อ ขนรอเตรียมงาน
เสียงกลองตีแข่ง น้ำแข็งน้ำหวาน คนขนบ่นอาน สนุกสนานครื้นเครง
O รถแล่นเรื่อยเรื่อย กินทางเอื่อยเอื่อย อย่างไม่รีบเร่ง
เสียงกลองรัวเร้า คลอเคล้าเสียงเพลง ซาเสียงบรรเลง โคลงเคลงถึงพลัน
O ธงชาติไหวไหว มองเห็นแต่ไกล ตื่นใจทั่วกัน
รถจอดสนิท ดวงจิตตื้นตัน ศิษย์น้อยของฉัน พร้อมกันต้อนรับ
O เด็กไร้เดียงสา มองสบสายตา กระเฉงกระฉับ
มีท่าทางดื้อ มีซื่อคำนับ บ้างก็ไหว้รับ ประทับจิตใจ
O เสร็จพิธีการ สิ่งของมอบผ่าน ผ.อ.รับไว้
ท่านให้โอวาท ซึ้งบาดหทัย ประทับทรวงใน ใครใครอิ่มเอม
O กิจกรรมดำเนิน เหนื่อยก็เพลิดเพลิน เพราะจิตเกษม
บางกลุ่มสอนน้อง บ้างร้องเล่นเกม นักร้องโนเนม ปรีดิ์เปรมทั้งวัน
O ไม้ดอกไม้ประดับ สวนหย่อมงามสรรพ ชวนหฤหรรษ์
เพื่อนเพื่อนช่วยสาน ช่วยงานพร้อมกัน สามัคคีมั่น เสร็จพลันสมปอง
O บ่ายน้อมอำลา จากพร้อมน้ำตา ทั้งพี่ทั้งน้อง
เสียงเพลงสะอื้น เฝื่อนฝืนทำนอง ไร้ซึ่งเสียงกลอง พี่น้องผูกพัน
O โครงการเสร็จสิ้น กลับคืนสู่ถิ่น แห่งสถาบัน
พิบูลฯฝังปลูก เพื่อลูกของท่าน จะไม่ลืมวัน สร้างฝันโครงการฯ.

นายศักดิ์สิทธิ์ นามสุวรรณ
ครูที่ปรึกษาโครงการฯ
18 มิถุนายน 2551

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2551

นางเอกในวรรณคดี 4 - ละเวงวัณฬา / กฤษณา



ละเวงวัณฬา
นางละเวงวัณฬาเป็นหญิงฝรั่ง ธิดาของของกษัตริย์เมืองลังกา และเป็นน้องสาวของอุษเรนผู้เป็นคู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี เมื่อนางอายุได้ ๑๖ ปีนางต้องสูญเสียบิดาและพี่ชายไปในสงครามสู้รบระหว่างเมืองลังกาและเมืองผลึกเพื่อแย่งชิงนางสุวรรณมาลีกลับคืนจากพระอภัยมณี แม้จะเสียใจจนคิดที่จะฆ่าตัวตายตามพ่อและพี่ชายไป แต่ด้วยความแค้นและภาวะที่บ้านเมืองกำลังขาดผู้นำ นางจึงขึ้นครองเมืองลังกาแทนบิดา และตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้แค้นแทนบิดาและพี่ชายให้จงได้
นางละเวงวัณฬาเป็นผู้มีทิฐิมานะและใจแข็ง บุคลิกนี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในจิตใจของนาง คือนางหลงรักพระอภัยมณี ซึ่งถือเป็นศัตรูของนาง จนเกือบที่จะทำให้นางต้องทุกข์ใจและสูญเสียคนรักไป เพราะความมีทิฐิของนาง แต่ในที่สุดนางก็พ่ายแพ้ต่อความรัก ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจทำตามความปรารถนาของตนที่ถูกต้อง หากนางไม่ทำเช่นนี้แล้ว นางละเวงก็จะสูญเสียคนรักและไม่มีความสุขในชีวิต ดังนั้นจะเห็นว่าการมีทิฐิมานะไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นและไม่ใช่หนทางในการแก้ปัญหา หากแต่การแก้ปัญหาที่ดี ต้องตัดสินใจโดยใช้ความคิดที่รอบคอบ
นางกฤษณา
นางกฤษณาเป็นตัวละครในมหาภารตะ เป็นราชธิดาของท้าวทุรบทแห่งกรุงปัญจาล นางมีผิวดำจึงชื่อว่า " กฤษณา " แต่ถึงดำก็งามหยดย้อยดังลงมาจากเมืองฟ้านะ นางได้ทำพิธีสยุมพรเลือกคู่ซึ่งได้พระอรชุน ด้วยความดีใจพระอรชุนจึงรีบไปบอกนางกุนตี ผู้เป็นมารดาว่า " ได้ของดีอันยิ่งใหญ่มา " โดยไม่ได้เห็นว่าเป็นสิ่งใดนางกุนตีจึงสั่งให้แบ่งปันสิ่งนั้นแก่พี่น้องปาณฑพ ทั้ง 5 ด้วยกัน เพื่อไม่ให้ผิดคำสั่งแม่ ทั้งฤาษีวยาสได้กล่าวว่า ตามเทพลิขิตของนางเทราปาที (อีกชื่อหนึ่งของนางกฤษณา)จะต้องเป็นชายาของปาณฑพทั้ง 5 อยู่แล้ว นางจึงอยู่กับพี่น้องทั้งห้า โดยเปลี่ยนเวรกันคนละ 2 คืน ตามลำดับ ต่อมานางต้องตกระกำลำบากมากมายเพราะสามีของนางต้องเสียบ้านเสียเมืองเนื่องจากแพ้พนันสกาแก่ทุรโยชน์ นางต้องอยู่ป่ากับสามีเป็นเวลาหลายปี เมื่อสามีทำศึกชนะทุรโยชน์แล้วนางจึงได้กลับเมือง นางมีโอรสกับสามีทั้ง 5 องค์ละคน ในตอนท้ายเมื่อสามีทั้ง 5 ตั้งความเพียรปีนภูเขาหิมาลัยเพื่อขึ้นสวรรค์ นางก็ติดตามไปด้วยและเป็นคนแรกที่ตายระหว่างทางปีนเขา วรรณคดีไทยได้นำเรื่องของนางมาแต่เป็น กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ โดยกรมพระปรมานุชิตชิโนรส

นางเอกในวรรณคดี 3 - รจนา / วันทอง / สุวรรณมาลี





สุวรรณมาลี
นางสุวรรณมาลี ธิดาเจ้าเมืองผลึก เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญไม่เกรงกลัวที่จะต้องออกไปทำศึก ความกล้าหาญของนางเห็นได้ชัดเจนมากในตอนที่มีศึกเก้าทัพมาตีเมืองผลึก ซึ่งขณะนั้นพระอภัยมณีก็หลงรูปนางละเวงอยู่ นางก็ไม่เกรงกลัวที่จะออกไปสู้รบเพื่อปกป้องบ้านเมืองของนาง แม้กระทั่งนางถูกธนูบาดเจ็บ นางก็ยังคงต้องการช่วยต้านทัพโดยที่ไม่ได้คิดถึงชีวิตตนแม้แต่น้อย ซึ่งความกล้าหาญของนางสุวรรณมาลีนั้นทำให้เห็นได้ว่า ผู้หญิงไม่ใช่เป็นเพียงเพศที่อ่อนแอ แต่ผู้หญิงก็เข้มแข็งกล้าหาญไม่แพ้ชายได้เช่นกัน
วันทอง
นางวันทอง เดิมชื่อนางพิมพิลาไลย เป็นนางเอกในเรื่องขุนช้างขุนแผน (เปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อแก้เคล็ดให้หายป่วย ตอนขุนแผนไปรบ) นางถูกยื้อไปแย่งมาระหว่างขุนแผน และขุนช้าง จนในที่สุดพระพันวษาต้องให้นางเลือกว่าจะอยู่กับใครระหว่างขุนแผนหรือขุนช้าง แต่นางวันทองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ เพราะแม้ขุนแผนจะเจ้าชู้จนมีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งหึงหวงกันอยู่เสมอ แต่ก็เป็นเพราะรัก และยังมีลูกด้วยกันคือพลายงามอีกด้วย สุดท้ายนางก็ต้องถูกประหารชีวิตเพราะไม่สามารถเลือกได้ว่าจะอยู่กับใครระหว่างขุนช้าง ขุนแผน หรือพลายงามผู้เป็นลูก พระพันวษาจึงประณามว่าเป็นหญิงสองใจ
รจนา
นางรจนา จากเรื่องสังข์ทอง เป็นธิดาสุดท้องจากจำนวนเจ็ดองค์ของท้าวสามล พี่ๆเลือกคู่ได้สามีที่คู่ควรกันแล้ว แต่นางรจนากลับเลือกได้เจ้าเงาะรูปชั่วตัวดำ ทั้งๆที่ตนเป็นสาวสวย จึงเป็นที่เยาะเย้ยไปทั่ว ทำให้พระบิดากริ้วไล่ให้ไปตกระกำลำบากที่กระท่อมปลายนา แต่ความจริงที่นางเลือกก็เพราะเห็นรูปทองอยู่ข้างใน เจ้าเงาะถึงจะขี้ริ้วแต่ก็มีวิชาความรู้ จนต่อมาพระอินทร์ต้องแปลงร่างมาตีคลีเพื่อช่วยให้เจ้าเงาะได้ถอดรูปให้ทุกคนได้เห็นรูปทองในที่สุด ดังนั้นสาวๆที่มีสามีขี้ริ้วจึงมักถูกว่าเป็นนางรจนาควงเจ้าเงาะ

นางเอกในวรรณคดี 2 - สาวิตรี / กากี / เพื่อนแพง




เพื่อนแพง
พระเพื่อนพระแพง เป็นสองพระธิดาผู้เลอโฉมของเมืองสรอง ได้ยินคำเล่าลือชมรูปงามของพระลอ กษัตริย์หนุ่มแห่งเมืองแมนสรวงก็เกิดตกหลุมรัก จึงได้ใช้อุบาย และทำเสน่ห์จนพระลอซึ่งมีพระมเหสีอยู่แล้วก็ทิ้งมเหสีและบ้านเมืองไปหาพระเพื่อนพระแพงที่เมืองสรอง แต่ที่สุดก็กลายโศกนาฏกรรมความรัก เพราะทั้งพระลอและพระเพื่อนพระแพงต่างต้องมาตายด้วยความแค้นของเจ้าย่าที่ไม่ยอมให้อภัยพ่อของพระลอที่ฆ่าสามีตน แม้จะเป็นเรื่องเศร้า แต่เมื่อใครเอ่ยถึงสาวใดว่าเป็นเหมือนพระเพื่อนพระแพง ส่วนใหญ่จะมีความหมายว่าหน้าตาคล้ายกัน หรือหน้าตาเหมือนกันมากกว่าจะกล่าวถึงเนื้อหาข้างต้น
กากี
กากีนับเป็นนางเอกที่อื้อฉาวที่สุดเลยก็ว่าได้ นางกากีนอกจากจะมีรูปกายงดงามราวกับเทพธิดาแล้ว ยังมีกลิ่นกายหอมเป็นพิเศษอีกด้วย ชายใดที่แตะต้องสัมผัสนางกลิ่นหอมก็ติดกายชายคนนั้นไปเจ็ดวันเลยทีเดียว นางกากีเป็นมเหสีของท้าวบรมพรหมทัตซึ่งโปรดการเล่นสกามาก โดยมีพระยาครุฑเวนไตยซึ่งแปลงร่างเป็นมานพรูปงามเป็นคู่เล่นสกา จนวันหนึ่งเล่นเพลินมิได้ไปหานางกากี นางจึงมาแอบดูและสบตาเข้ากับพระยาครุฑ ต่างก็เกิดอาการหวั่นไหว ต่อมาพระยาครุฑได้บินมาลักพานางไปยังวิมานฉิมพลี ทำให้ท้าวพรหมทัตกลัดกลุ้มพระทัย คนธรรพ์นาฏกุเวรซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของพระองค์ก็อาสาจะลักพานางกลับมา แต่แทนที่จะพานางกลับเมืองกลับเกี๊ยวพาและได้เสียกัน ท่านท้าวจึงนำนางไปปล่อยแพกลางทะเล ต่อมานางได้รับความช่วยเหลือจากนายสำเภา ซึ่งได้รับนางเป็นภรรยา แต่เคราะห์กรรมนางยังไม่หมด ต่อมาถูกนายโจรมาลักพาตัวไปเพราะหลงไหลในความงาม ปรากฎว่าหมู่โจรเกิดการแย่งชิงนางนางหนีไปได้และได้เป็นมเหสีของท้าวทศวงศ์ นับดูแล้วนางกากีมีสามีถึง 5 คน แสดงว่าต้องเป็นคนที่เซ็กซี่มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างมาก
สาวิตรี
นางสาวิตรี ชื่อนี้หลายคนอาจจะคุ้นหู แต่มักนึกไม่ออกว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร นางสาวิตรีเป็นพระธิดาของท้าวอัศวบดี เมื่อเติบโตเป็นสาว พระบิดาให้เลือกสามีเองตามใจชอบ ปรากฏว่านางได้เลือกพระสัตยวานเป็นสามี แม้จะถูกทัดทานว่าพระสัตยวานจะมีอายุได้อีกปีเดียว แต่เมื่อนางตกลงปลงใจแล้วก็ไม่เปลี่ยนใจและได้แต่งงานกันในที่สุด ต่อมาอีกปีพระสัตยวานก็ตายลงดังคำทำนาย นางสาวิตรีได้พบกับพระยม(มัจจุราช)โดยไม่แสดงความหวั่นเกรง และเดินตามพระยมที่พาวิญญาณสวามีไป ระหว่างทางนางได้ใช้สติปัญญาโต้ตอบกับพระยมด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ จนพระยมใจอ่อนให้พรตามที่นางขอ นางจึงบอกต่อพระยมว่าพรสุดท้ายที่ขอนั้นไม่อาจสำเร็จได้ หากไม่มีสามี ในที่สุดพระยมก็ต้องคืนพระสวามีให้แก่นางสาวิตรี

นางเอกในวรรณคดีไทย 1 - มัทนพาธา



นางมัทนา
เทพสุเทษณ์เป็นทุกข์อยู่ด้วยความลุ่มหลงเทพธิดามัทนาผู้ไม่มีใจให้เลย แม้ว่าสุเทษณ์จะเกี้ยวพาและรำพันรักอย่างไร สุเทษณ์โกรธนักจึงจะสาปมัทนาให้ไปเกิดในโลกมนุษย์ มัทนาขอให้นางได้ไปเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่นกลิ่นหอมเพื่อให้มีประโยชน์บ้าง สุเทษณ์จึงสาปมัทนาให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบที่งามทั้งกลิ่นทั้งรูปและมีแต่เฉพาะบนสวรรค์ยังไม่เคยมีบนโลกมนุษย์ โดยที่ในทุกๆ 1เดือน นางมัทนาจะกลายร่างเป็นคนได้ชั่ว 1 วัน 1 คืน ในเฉพาะวันเพ็ญของแต่ละเดือนเท่านั้น แต่ถ้านางมีความรักเมื่อใด นางก็จะมิต้องคืนรูปเป็นกุหลาบอีก กลับจะได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความรักจนมิอาจทนอยู่ได้ และเมื่อนั้นถ้านางอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ตนจึงจะงดโทษทัณฑ์นี้ให้แก่นาง
นางมัทนาไปจุติเป็นกุหลาบงามอยู่ในป่าหิมะวัน(ป่าหิมพาน) บรรดาศิษย์ของฤษีนามกาละทรรศินมาพบเข้าจึงนำความไปบอกพระอาจารย์ กาละทรรศินจึงให้ขุดไปปลูกในบริเวณอาศรมของตน วันเพ็ญในเดือนหนึ่งท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งหัสตินาปุระได้เสด็จออกล่าสัตว์ในป่าหิมะวันและได้แวะมาพักที่อาศรมพระฤษี ครั้นได้เห็นนางมัทนาในโฉมของนารีผู้งดงามก็ถึงกับตะลึงและทั้งสองเกิดความรักต่อกัน เมื่อมีความรักแล้วนางมัทนาก็ยังคงรูปเป็นนารีผู้งดงามมิต้องกลายรูปเป็นกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนได้ทูลขอนางมัทนาต่อพระฤาษีก็ยกให้พร้อมกับจัดพิธีบูชาทวยเทพและพิธีวิวาหมงคลในป่านั้น ก่อนท้าวชัยเสนจะนำนางมัทนาเสด็จกลับวังโดยให้ประทับอยู่แต่ในอุทยาน พระนางจัณฑี มเหสีให้นางกำนัลมาสืบดูจนรู้ว่าพระสวามีนำสาวชาวป่ามาด้วย จึงตามมาพบท้าวชัยเสนกำลังอยู่กับนางมัทนาพอดี เมื่อพระนางจัณฑีเจรจาค่อนขอดดูหมิ่นนางมัทนา ท้าวชัยเสนก็กริ้วและทรงดุด่าว่าเป็นมเหสีผู้ริษยา พระนางจัณฑีแค้นใจนัก ให้คนไปทูลฟ้องพระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งมคธนครให้ยกทัพมาทำศึกกับท้าวชัยเสน จากนั้นก็คบคิดกับนางค่อมอราลีและวิทูรพราหมณ์หมอเสน่ห์ทำอุบายกลั่นแกล้งนางมัทนา โดยส่งหนังสือไปทูลท้าวชัยเสนว่านางมัทนาป่วย ครั้นเมื่อท้าวชัยเสนรีบเสด็จกลับมาเยี่ยมนางมัทนาก็กลับพบหมอพราหมณ์กำลังทำพิธีอยู่ใกล้ๆต้นกุหลาบ วิทูรกับนางเกศินีข้าหลวงของนางจัณฑีจึงทูลใส่ความว่านางมัทนาให้ทำเสน่ห์เพื่อให้ได้ร่วมชื่นชูสมสู่กับศุภางค์ ท้าวชัยเสนกริ้วนักรับสั่งให้ศุภางค์ประหารนางมัทนา แต่ศุภางค์ไม่ยอม ท้าวชัยเสนจึงสั่งประหารทั้งคู่ พระนางจัณฑีได้ช่องรีบเข้ามาทูลว่าตนจะอาสาออกไปห้ามศึกพระบิดาซึ่งคงเข้าใจผิดว่านางกับท้าวชัยเสนนั้นบาดหมางกัน แต่ท้าวชัยเสนตรัสว่าทรงรู้ทันอุบายของนางที่คิดก่อศึกแล้วจะห้ามศึกเอง พระองค์จะขอออกทำศึกอีกคราแล้วจะตัดหัวกษัตริย์มคธพ่อตาเอามาให้นางผู้ขบถต่อสวามีตนเอง ขณะตั้งค่ายรบอยู่ที่นอกเมือง วิทูรพรหมณ์เฒ่าได้มาขอเข้าเฝ้าท้าวชัยเสนเพื่อสารภาพความทั้งปวงว่าพระนางจัณฑีเป็นผู้วางแผนการร้าย ซึ่งในที่สุดแล้วตนสำนึกผิดและละอายต่อบาปที่เป็นเหตุให้คนบริสุทธิ์ต้องได้รับโทษประหาร ท้าวชัยเสนทราบความจริงแล้วคั่งแค้นจนดำริจะแทงตนเองให้ตาย แต่อำมาตย์นันทิวรรธนะเข้าห้ามไว้ทันและงนางมัทนานั้นได้โสมะทัตศิษญ์เอกของฤษีกาละทรรศินนำพากลับสู่อาศรมเดิม แต่ศุภางค์นั้นแฝงกลับเข้าไปร่วมกับกองทัพแล้วออกต่อสู้กับข้าสึกจนตัวตาย ท้าวชัยเสนจึงรับสั่งให้ประหารท้าวมคธที่ถูกจับมาเป็นเชลยไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ส่วนพระนางจัณฑีมเหสีนั้นทรงให้เนรเทศออกนอกพระนคร ด้วยทรงเห็นว่าอันนารีผู้มีใจมุ่งร้ายต่อผู้เป็นสามีก็คงต้องแพ้ภัยตนเอง มิอาจอยู่เป็นสุขได้นานแน่ ฝ่ายนางมัทนานั้นได้ทำพิธีบูชาเทพและวอนขอร้องให้สุเทษณ์จอมเทพช่วยนางด้วย สุเทษณ์นั้นก็ยินดีจะแก้คำสาปและรับนางเป็นมเหสี แต่นางมัทนาก็ยังคงปฏิเสธและว่าอันนารีจะมีสองสามีได้อย่างไร สุเทษณ์เห็นว่านางมัทนายังคงปฏิเสธความรักของตนจึงกริ้วนักสาปส่งให้นางมัทนาเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล
เมื่อท้าวชัยเสนตามมาถึงในป่า นางปริยัมวะทาที่ตามมาปรนนิบัติดูแลนางมัทนาด้วยก็ทูลเล่าความทั้งสิ้นให้ทรงทราบ ท้าวชัยเสนจึงร้องร่ำให้ด้วยความอาลัยรักแล้วขอให้พระฤษีช่วย โดยใช้มนตราและกล่าวเชิญนางมัทนาให้ยินยอมกลับเข้าไปยังเวียงวังกับตนอีกครั้ง เมื่อพระฤษีทำพิธีแล้ว ท้าวชัยเสนก็รำพันถึงความหลงผิดและความรักที่มีต่อนางมัทนาให้ต้นกุหลาบได้รับรู้ จากนั้นจึงสามารถขุดต้นกุหลาบได้สำเร็จ ท้าวชัยเสนได้นำต้นกุหลาบขึ้นวอทองเพื่อนำกลับไปปลูกในอุทยาน และขอให้ฤษีกาละทรรศินให้พรวิเศษว่ากุหลาบจะยังคงงดงามมิโรยราตราบจนกว่าตัวพระองค์เองจะสิ้นอายุขัย พระฤษีก็อวยพรให้ดังใจ และประสิทธิประสาทพรให้กุหลาบนั้นดำรงอยู่คู่โลกนี้มิมีสูญพันธ์ อีกทั้งยังเป็นไม้ดอกที่กลิ่นอันหอมหวานสามารถช่วยดับทุกข์ในใจคนและดลบันดาลให้จิตใจเบิกบานเป็นสุขได้ ชาย-หญิงเมื่อมีรักก็จักใช้ดอกกุหลาบเป็นสัญญลักษณ์แห่งความรักแท้สืบต่อไป